ครึ่งชั่วยามต่อมา เย่จิ่งหลานก็มาถึงตำหนักจินหวู
อินชิงเสวียนกำลังจูงเสี่ยวหนานเฟิงพาฝึกเดินอยู่ เมื่อนางเห็นเย่จิ่งหลาน นางก็ส่งเสี่ยวหนานเฟิงให้กับอวิ๋นฉ่ายทันที
“ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”
เย่จิ่งหลานเดินไปหาเสี่ยวหนานเฟิง บีบแก้มนุ่มนิ่มของเขาเบาๆ
“ได้ยินทหารองครักษ์บอกว่าพระสนมส่งคนมาหาข้าก่อนหน้านี้ แต่ข้าไม่เห็นเขา ไม่อย่างนั้นคงมาที่นี่นานแล้ว”
“ไม่เห็นหรือ”
อินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จนป่านนี้องครักษ์ยังไม่กลับมา หรืออาจมีบางอย่างเกิดขึ้น
แต่พอนึกดูอีกที วรยุทธ์ของทหารองครักษ์ไม่ได้อ่อนแอ ไม่น่าจะเกิดเรื่องขึ้น บางทีอาจถูกฝ่าบาทรั้งตัวไว้ ให้ไปทำธุระอื่น
ไม่ว่าอย่างไร เย่จิ่งหลานมาถึงก็ดีแล้ว
“ช่างเถอะ อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลย ข้าหาเจ้ามาเพื่อถามว่าเจ้ารู้ภาษาอื่น เช่นภาษาญี่ปุ่นหรือไม่”
หลังจากได้ยินสิ่งที่อินชิงเสวียนพูด เย่จิ่งหลานก็ตกตะลึง ไม่มีทาง อินชิงเสวียนคงไม่สามารถคาดเดาความคิดของเขาได้กระมัง ระบบของนางยอดเยี่ยมขนาดนั้นเลยหรือ
“เอ่อ พอรู้นิดหน่อย เจ้าถามทำไม”
จากนั้นเย่จิ่งอวี้ก็หยิบของว่างขึ้นมากินอย่างไม่เกรงใจ
“เรื่องเป็นอย่างนี้...”
อินชิงเสวียนเล่าเรื่องที่ถูกคนตัวเตี้ยโจมตีให้เย่จิ่งหลานรู้ รวมถึงเรื่องที่จับไปขังไว้ในคุกหลวง
จู่ๆ เย่จิ่งหลานก็แสดงท่าทีสนใจ
“แน่ใจหรือว่าพวกเขาพูดภาษาญี่ปุ่น”
“แน่ใจ แม้ไม่เคยกินหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง”
“พาข้าไปดูหน่อย”
อินชิงเสวียนไม่พูดพร่ำทำเพลง นางพาเย่จิ่งหลานไปยังคุกหลวง
หลังจากเดินผ่านทางเดินมืดๆ ชื้นๆ ก็มามาถึงห้องขังที่คนผู้นั้นถูกควบคุมตัว อินชิงเสวียนชี้ไป
“คนผู้นั้นอย่างไรล่ะ”
ในห้องขัง ชายร่างเตี้ยถูกมัดด้วยโซ่เหมือนข้าวต้มมัด นั่งอยู่ตรงมุมห้อง
เย่จิ่งหลานมองดูอย่างพิจารณา แล้วพูดว่า “ลักษณะเหมือนพวกเขาจริงๆ”
แล้วเขาก็ถามว่า “เจ้าน่ะ มาอะไรทำ”
อินชิงเสวียนพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง สำเนียงคลาสสิคนี้ต้องมาจากบทภาพยนตร์ต่อต้านสงครามที่เขาชมมากเกินไป ถ้าเย่จิ่งหลานรู้เพียงเท่าก็คงไม่มีประโยชน์
ชายตัวเตี้ยไม่รู้ภาษาโจว และไม่เข้าใจสิ่งที่เย่จิ่งหลานพูด เขายังคงจ้องมองทั้งสอง หรือพูดให้ถูกกว่านั้นคือจ้องอินชิงเสวียน
เย่จิ่งหลานจุ๊ปาก แล้วพูดว่า “ไอ้ขยะนี่ตาถึงทีเดียว รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในต้าโจวเรา”
อินชิงเสวียนกลอกตามองเขา
“เจ้าจะจริงจังได้เมื่อไหร่”
เย่จิ่งหลานไพล่หลัง ก้มตัว มองชายร่างเตี้ยราวกับมองลิง
“อ่าใจร้อนสิ ขอข้าชื่นชมสักหน่อย ชาวญี่ปุ่นสมัยโบราณกับปัจจุบันต่างกันอย่างไร”
“มีอะไรน่าดู ก็น่าขยะแขยงเหมือนกันหมดไม่ใช่หรือ”
เย่จิ่งหลานพยักหน้าเห็นด้วย
“ไม่มีความแตกต่างเลยจริงๆ ถ้าจะพูดตามตรง ก็คือคนที่ยังไม่เจริญเหล่านี้ไร้มนุษยธรรมยิ่งกว่าคนญี่ปุ่นในสมัยปัจจุบันเสียอีก เฮ้อ ถ้าไม่ใช่เพราะมิติไม่ห้าม ข้าอยากจะจับพวกเขาไปผ่าดูข้างในจริงๆ ดูว่าสีเลือดโสมมเหล่านี้มีสีอะไร”
เมื่อฟังเรื่องไร้สาระของเย่จิ่งหลาน ความอดทนของอินชิงเสวียนก็เกือบจะหมดลง นางกำลังจะถามเขาว่าตกลงจะพูดได้หรือไม่นั้น ก็ได้ยินเย่จิ่งหลานพูดอะไรบางอย่างที่นางไม่เข้าใจ
ดวงตาของชายร่างเตี้ยสว่างขึ้น เขามองไปที่เย่จิ่งหลานแล้วสนทนาอะไรบางอย่าง
เย่จิ่งหลานเริ่มพูดคุยกับเขา แต่อินชิงเสวียนไม่เข้าใจ นางอดกังวลไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...