เสี่ยวอานจื่อนำมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาโดยมิรู้ตัว เขากล่าวกับอินชิงเสวียนว่า “น้องชาย ชีวิตของเจ้านั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ”
ดวงตาคู่นั้นของอินชิงเสวียนเองก็เป็นสีแดง พูดกับเด็กๆ เหมือนกับมิอาจตัดใจได้ “อีกเดี๋ยวพ่อก็จะกลับมาหาพวกเจ้าแล้ว อยู่บ้านก็เป็นเด็กดีของย่า พ่อต้องไปแล้ว”
หลังจากพูดจบ นางก็ส่งเด็กๆ กลับไปด้วยสีหน้าอันมุ่งมั่น แล้วเดินออกนอกประตูไปโดยมิได้หันกลับมามอง
เสี่ยวอานจื่อรีบวิ่งตามออกมา เขาถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เสี่ยวเสวียนจือ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
อินชิงเสวียนขยี้ตาคู่นั้นแล้วหันกลับมายิ้มให้กับเสี่ยวอานจื่อ
“แม้จะมิเต็มใจก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เฮ้อ นี่แหละหนาชีวิต พวกเรารีบไปกันเถอะ”
เสี่ยวอานจื่อถอนหายใจออกมา “คิดมิถึงเลยว่าเจ้าจะมีลูกสามคนแล้วจริงๆ”
จากนั้นก็ถามออกมาด้วยความสงสัย “ข้าเห็นว่าเจ้าน่าจะมีอายุประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี แต่ลูกสาวคนโตของเจ้าน่าจะมีอายุหกถึงเจ็ดปีได้”
อินชิงเสวียนแทบจะสำลักน้ำลายของตัวเอง กระแอมออกมา “แค่กๆ ......ที่จริงข้าอายุยี่สิบกว่าแล้ว เพียงแต่รูปลักษณ์ของข้าดูอ่อนเยาว์เท่านั้น”
เสี่ยวอานจื่อพูดด้วยความตระหนักรู้ในทันใด “ไม่แปลกใจเลย เฮ้อ เจ้าแต่งงานแล้วแต่ยังเข้าไปในพระราชวัง ช่างกล้าหาญยิ่งนัก ไม่เหมือนกับข้า เข้าวังตั้งแต่อายุเพียงไม่กี่ปี หน้าพ่อแม่ของข้าเป็นอย่างไรก็ลืมไปหมดแล้ว”
อินชิงเสวียนถามออกมาด้วยความประหลาดใจ “เช่นนั้นเจ้าก็มิได้ติดต่อกับพ่อแม่ของเจ้าเลยหรือ?”
เสี่ยวอานจื่อส่ายหน้า “จะติดต่อได้อย่างไร ข้าถูกขายเข้าไปในพระราชวัง หาได้มีความสัมพันธ์หรือความคิดถึงคนนอกพระราชวังแต่อย่างใด”
คิดไม่ถึงเลยว่าเสี่ยวอานจื่อจะน่าสงสารถึงเพียงนี้
“ในเมื่อไร้ความสัมพันธ์กัน เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องคิดถึง เจ้ามีสตรีที่ชอบอยู่ในพระราชวังมิใช่หรือ เช่นนั้นเจ้าก็ทำให้นางกลายเป็นความคิดถึงของเจ้าก็สิ้นเรื่อง”
เสี่ยวอานจื่อพูดอย่างเศร้าหมอง “สาวใช้ในพระราชวังสามารถออกจากพระราชวังได้เมื่ออายุมากกว่ายี่สิบห้า แต่ขันทีจะออกจากพระราชวังก็ต้องรอให้อายุครบห้าสิบปีเสียก่อน เมื่อข้าออกมา นางก็คงแต่งงานไปแล้ว”
อินชิงเสวียนถามออกมาอีกครั้งว่า “อาจารย์ของเจ้าก็อายุเกินห้าสิบปีแล้ว เหตุใดเขาถึงไม่ยอมออกมาจากพระราชวัง”
เสี่ยวอานจื่อชำเลืองมองมาที่นาง “ท่านอาจารย์ของข้าคือคนโปรดของฝ่าบาท สามารถมีชีวิตอยู่ในพระราชวังได้จนตัวตาย แต่พวกเรานั้นไม่เหมือนกัน ตอนที่ออกมาก็ไร้ซึ่งสตรีคอยดูแล ในตอนที่ตายก็ไม่มีผู้ใดมาคอยเก็บศพ เว้นแต่จะเข้าตาและเป็นที่โปรดปรานของเจ้านาย มิเช่นนั้นก็ต้องทุกข์ทรมานตลอดไป”
เมื่อพูดจบเขาก็นึกถึงลูกสาวของอินชิงเสวียน ความอิจฉาปรากฏขึ้นมาจากหัวใจของเขา
“แต่เจ้านั้นต่างออกไป เมื่อออกมาแล้วยังมีคนคอยดูแล”
อินชิงเสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวออกมาว่า “เช่นนั้นก็แค่หาเจ้านายเป็นที่พึ่งพิง หรือไม่ก็ยอมเป็นลูกบุญธรรมของใครสักคนก็เพียงพอแล้ว”
เสี่ยวอานจื่อยิ้มออกมาราวกับกำลังยกของหนัก “ในพระราชวังไม่มีใครที่คุ้มค่าแก่การพึ่งพิง เจ้าไม่รู้หรือว่าทัศนคติของฝ่าบาทเป็นเช่นไร การรับใครสักคนเป็นลูกบุญธรรมนั้นไร้สาระยิ่งกว่า เกรงว่าสิ่งที่เจ้าพูดคงเป็นเพียงเรื่องตลก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ออกมาจากพระราชวังหลังจากที่เข้าไปด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อินชิงเสวียนก็อดมิได้ที่จะคิดขึ้นมาว่า
“ฝ่าบาทไม่ต้องการสตรี?”
เสี่ยวอานจื่อนำมือขึ้นมาปิดปากของตัวเอง “ข้าเคยได้ยินมาว่าฝ่าบาทเคยมีสตรีนางหนึ่ง คนนั้นก็คือท่านผู้ที่อยู่ในวังเย็น ดูเหมือนว่านางจะใช้แผนการอะไรบางอย่าง มิเช่นนั้นฝ่าบาทก็ไม่อาจส่งนางเข้าไปในวังเย็นได้”
อินชิงเสวียนถอนหายใจและกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าตอนแรกนายท่านผู้นั้นคือพระชายาองค์รัชทายาท การที่อยู่ด้วยกันก็หาใช่เรื่องแปลก หากฝ่าบาทไม่ใกล้ชิดผู้หญิงถึงจะแปลก”
เสี่ยวอานจื่อรีบกล่าวออกมา “อย่าพูดเรื่องไร้สาระออกมาเป็นอันขาด ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในระหว่างนั้น”
“ยังมีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าเองก็มิค่อยแน่ใจ เลิกถามได้แล้ว”
เห็นเถ้าแก่ของคนขับรถเข้ามา เสี่ยวอานจื่อก็รีบหุบปากอย่างรวดเร็ว
อินชิงเสวียนเองก็หยุดอยู่แค่นั้น เสี่ยวอานจื่อมิใช่คนใหญ่คนโตอะไร ข้อมูลที่เขาได้รู้มาทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่ได้ยินมาจากหลี่เต๋อฝู
ทั้งสองคนขึ้นไปนั่งบนรถม้าด้วยตัวเอง สิบห้านาทีต่อมาก็มาถึงถนนเทียน
เมื่อรถม้าผ่านโรงน้ำชาแห่งหนึ่งก็ได้ยินคนพูดมาว่า “หลังจากฝ่าบาทขึ้นครองราชย์บัลลังก์ได้หนึ่งปี บ้านเมืองก็ต้องเผชิญหน้ากับภัยแรง เจ้าว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ”
“ไม่มีทาง น่าจะเป็นเพราะสวรรค์คงมิอยากให้ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์บัลลังก์เป็นแน่ บางทีนี่อาจเป็นการลงโทษจากสวรรค์”
“ตั้งแต่สมัยโบราณ ลูกของนางสนมไม่มีคุณสมบัติที่จะสืบทอดราชบัลลังก์ อันผิงอ๋องควรจะได้ครองบัลลังก์มากกว่า”
“อันผิงอ๋องคือพระราชโอรสของไทเฮา เขายังอายุน้อยและเป็นคนดี แต่น่าเสียดาย......”
อีกคนหนึ่งพูดออกมาว่า “เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว หากคนอื่นได้ยินเข้าพวกเจ้าอาจจะถูกตัดหัว”
อินชิงเสวียนมองไปที่คนในโรงน้ำชาเหล่านั้น
เหตุใดไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ได้ยินแต่คำพูดพวกนี้?
เมื่อนึกความทุ่มเทที่เย่จิ่งอวี้ทำเพื่อราษฎร ทำงานหนักในทุกค่ำคืน อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
อย่างที่คิด ราษฎรเหล่านี้ถูกชักนำได้โดยง่าย พวกเขามองไม่เห็นความพยายามของกษัตริย์ที่กำลังทุ่มเทเพื่อพวกเขา
เหมือนกับคนรุ่นหลังที่เอาแต่นอนอยู่บนเตียง เป็นนักเลงคีย์บอร์ดผู้มากไปด้วยศีลธรรม เอาแต่วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นด้วยคำพูดที่น่ารังเกียจ
อินชิงเสวียนจมอยู่กับความคิดจนรถม้าหยุดลง
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าตนเองมาถึงประตูของพระราชวังแล้ว
ทหารองครักษ์เห็นป้ายที่เอวของเสี่ยวอานจื่อก็ให้คนขับรถรออยู่ตรงนี้ จากนั้นก็ให้ลากรถม้าไปยังห้องทรงพระอักษร
ในตอนนั้น เย่จิ่งอวี้เพิ่งจะออกมาจากการประชุมราชวงศ์เช้า หลี่เต๋อฝูกำลังเปลี่ยนชุดให้เขา
เขาได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี จากนั้นก็สั่งให้คนนำน้ำบ๊วยเย็นมากให้
เย่จิ่งอวี้จ้องมองและวางมันลง
“เสี่ยวเสวียนจือยังไม่กลับมาอย่างนั้นหรือ?”
หลี่เต๋อฝูโค้งคำนับพร้อมกล่าวว่า “ยังมิกลับมา แต่น่าจะอีกมินานแล้ว”
เย่จิ่งอวี้หยิบสาส์นขึ้นมาและวางมันลงอีกครั้ง
หลี่เต๋อฝูรีบกล่าวออกมาว่า “ฝ่าบาทมิต้องรีบร้อน เสี่ยวเสวียนจือจะต้องกลับมาตรงเวลาเป็นแน่”
“ข้ารู้แล้ว เข้ากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่”
เย่จิ่งอวี้เดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะ ดวงตาที่ราวกับนกฟีนิกซ์คู่นั้นจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง มันลุ่มลึกจนไม่อาจเข้าใจได้
หลี่เต๋อฝูติดตามเย่จิ่งอวี้อย่างใกล้ชิด ครุ่นคิดคำพูดและถามออกมาว่า “ฝ่าบาทมีเรื่องกังวลอย่างนั้นหรือ?”
เย่จิ่งอวี้มิได้พูดอะไร รูปร่างที่ดูสูงใหญ่ของเขาให้ความรู้สึกอ้างว้างอย่างอธิบายมิได้
เมื่อมองดูรูปร่างที่ผอมบางของฝ่าบาท หลี่เต๋อฝูอดมิได้ที่จะรู้สึกปวดใจ เขาหวังว่าสภาพอากาศในต้าโจวจะดีขึ้นในเร็ววัน อย่างน้อยมันก็สามารถบรรเทาความทุกข์ให้กับเย่จิ่งอวี้ได้บ้าง
ขณะที่เจ้านายและบ่าวรับใช้กำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นอินชิงเสวียนและเสี่ยวอานจื่อเดินทางเข้ามาในห้องโถงจากด้านนอก
ทั้งสองนั่งอยู่บนรถม้า บนเสื้อผ้าและใบหน้าเลอะไปด้วยแป้งสีขาว ทำให้ดูตลกเล็กน้อย
เมื่อเห็นสภาพที่น่าอายของทั้งสองคน มุมปากของเย่จิ่งอวี้ก็ยกตัวขึ้นมา และเดินออกไปที่ประตู
“พวกเจ้าสองคนไปที่ใดมา เหตุใดถึงได้ดูมอมแมมเช่นนี้”
ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้น เห็นฝ่าบาทยืนอยู่หน้าประตูก็รีบคุกเข่าลงทันใด
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
เย่จิ่งอวี้กล่าวอย่างใจเย็น “ลุกขึ้นมาเถิด นำเมล็ดพืชมาแล้วหรือยัง”
เสี่ยวอานจื่อรีบตอบกลับไปว่า “นำมาแล้ว รถม้าถูกลากไปยังห้องทรงพระอักษรเป็นที่เรียบร้อย”
อินชิงเสวียนกล่าวออกมาอีกว่า “กระหม่อมได้นำข้าวสารและแป้งมาด้วยจำนวนหนึ่ง ฝ่าบาทได้โปรดรับมันไว้”
“งั้นหรือ”
เย่จิ่งอวี้เดินออกจากประตู เสื้อคลุมที่ขาวนวลราวกับแสงจันทร์ทำให้เขาดูเหมือนต้นหยก ร่าเริงแจ่มใส สง่างามทุกการเคลื่อนไหว
อินชิงเสวียนอดมิได้ที่จะอ้าปากค้าง นึกถึงประโยคโบราณที่เคยได้ยินมา
เคร่งขรึมราวกับลมใต้ต้นสน สดใสราวกับพระจันทร์ในป่า
เย่จิ่งอวี้เหมือนกับชายหนุ่มรูปงามที่เดินออกมาจากเทพนิยาย
เห็นบ่าวจ้องมองตนเองด้วยสายตาที่ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เย่จิ่งอวี้มีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูก เชาเหลือบมองอินชิงเสวียนพร้อมกล่าวว่า “ลุกขึ้นมาเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อินชิงเสวียนรีบดึงคางของตนเองขึ้นมาทันที
จะลุ่มหลงในความงดงามของเย่จิ่งอวี้มิได้เป็นอันขาด
เพราะเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจของเจ้า...
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
จะว่าเพื่อนรึก็ท่าทีแปลกๆ...
สืบไม่ได้เรื่องอีก นางเอกเห็นแล้ว เซ็งเลย จริงๆ อยากให้พระเอกสืบรู้ หลังจากนั้นก็ใช้สมองคอยจับไต๋และกลั่นแกล้งยัยน้อง น่าจะสนุกไปอีก...
รอเต้รู้ว่าขันทีน้อยคือเมียตวเองที่แสร้งตายแถมยังมีลูกชายอีกแล้วแอบเก็บงำไว้จับไต๋ยัยน้อง คงจะยิ่งสนก...
นางเอกช่างเป็นแม่ที่ไม่ปลอบโยนลูกเลยจริงๆ555...
ไม่สะกดรอยขันทีน้ยนี้ไปสักครั้งหน่อยหรือ...