สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 57

สรุปบท บทที่ 57 มิอาจถูกความงามล่อลวง: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์

สรุปตอน บทที่ 57 มิอาจถูกความงามล่อลวง – จากเรื่อง สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ โดย GoodNovel

ตอน บทที่ 57 มิอาจถูกความงามล่อลวง ของนิยายโรแมนติกเรื่องดัง สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ โดยนักเขียน GoodNovel เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

เสี่ยวอานจื่อนำมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาโดยมิรู้ตัว เขากล่าวกับอินชิงเสวียนว่า “น้องชาย ชีวิตของเจ้านั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ”

ดวงตาคู่นั้นของอินชิงเสวียนเองก็เป็นสีแดง พูดกับเด็กๆ เหมือนกับมิอาจตัดใจได้ “อีกเดี๋ยวพ่อก็จะกลับมาหาพวกเจ้าแล้ว อยู่บ้านก็เป็นเด็กดีของย่า พ่อต้องไปแล้ว”

หลังจากพูดจบ นางก็ส่งเด็กๆ กลับไปด้วยสีหน้าอันมุ่งมั่น แล้วเดินออกนอกประตูไปโดยมิได้หันกลับมามอง

เสี่ยวอานจื่อรีบวิ่งตามออกมา เขาถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เสี่ยวเสวียนจือ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”

อินชิงเสวียนขยี้ตาคู่นั้นแล้วหันกลับมายิ้มให้กับเสี่ยวอานจื่อ

“แม้จะมิเต็มใจก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เฮ้อ นี่แหละหนาชีวิต พวกเรารีบไปกันเถอะ”

เสี่ยวอานจื่อถอนหายใจออกมา “คิดมิถึงเลยว่าเจ้าจะมีลูกสามคนแล้วจริงๆ”

จากนั้นก็ถามออกมาด้วยความสงสัย “ข้าเห็นว่าเจ้าน่าจะมีอายุประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี แต่ลูกสาวคนโตของเจ้าน่าจะมีอายุหกถึงเจ็ดปีได้”

อินชิงเสวียนแทบจะสำลักน้ำลายของตัวเอง กระแอมออกมา “แค่กๆ ......ที่จริงข้าอายุยี่สิบกว่าแล้ว เพียงแต่รูปลักษณ์ของข้าดูอ่อนเยาว์เท่านั้น”

เสี่ยวอานจื่อพูดด้วยความตระหนักรู้ในทันใด “ไม่แปลกใจเลย เฮ้อ เจ้าแต่งงานแล้วแต่ยังเข้าไปในพระราชวัง ช่างกล้าหาญยิ่งนัก ไม่เหมือนกับข้า เข้าวังตั้งแต่อายุเพียงไม่กี่ปี หน้าพ่อแม่ของข้าเป็นอย่างไรก็ลืมไปหมดแล้ว”

อินชิงเสวียนถามออกมาด้วยความประหลาดใจ “เช่นนั้นเจ้าก็มิได้ติดต่อกับพ่อแม่ของเจ้าเลยหรือ?”

เสี่ยวอานจื่อส่ายหน้า “จะติดต่อได้อย่างไร ข้าถูกขายเข้าไปในพระราชวัง หาได้มีความสัมพันธ์หรือความคิดถึงคนนอกพระราชวังแต่อย่างใด”

คิดไม่ถึงเลยว่าเสี่ยวอานจื่อจะน่าสงสารถึงเพียงนี้

“ในเมื่อไร้ความสัมพันธ์กัน เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องคิดถึง เจ้ามีสตรีที่ชอบอยู่ในพระราชวังมิใช่หรือ เช่นนั้นเจ้าก็ทำให้นางกลายเป็นความคิดถึงของเจ้าก็สิ้นเรื่อง”

เสี่ยวอานจื่อพูดอย่างเศร้าหมอง “สาวใช้ในพระราชวังสามารถออกจากพระราชวังได้เมื่ออายุมากกว่ายี่สิบห้า แต่ขันทีจะออกจากพระราชวังก็ต้องรอให้อายุครบห้าสิบปีเสียก่อน เมื่อข้าออกมา นางก็คงแต่งงานไปแล้ว”

อินชิงเสวียนถามออกมาอีกครั้งว่า “อาจารย์ของเจ้าก็อายุเกินห้าสิบปีแล้ว เหตุใดเขาถึงไม่ยอมออกมาจากพระราชวัง”

เสี่ยวอานจื่อชำเลืองมองมาที่นาง “ท่านอาจารย์ของข้าคือคนโปรดของฝ่าบาท สามารถมีชีวิตอยู่ในพระราชวังได้จนตัวตาย แต่พวกเรานั้นไม่เหมือนกัน ตอนที่ออกมาก็ไร้ซึ่งสตรีคอยดูแล ในตอนที่ตายก็ไม่มีผู้ใดมาคอยเก็บศพ เว้นแต่จะเข้าตาและเป็นที่โปรดปรานของเจ้านาย มิเช่นนั้นก็ต้องทุกข์ทรมานตลอดไป”

เมื่อพูดจบเขาก็นึกถึงลูกสาวของอินชิงเสวียน ความอิจฉาปรากฏขึ้นมาจากหัวใจของเขา

“แต่เจ้านั้นต่างออกไป เมื่อออกมาแล้วยังมีคนคอยดูแล”

อินชิงเสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวออกมาว่า “เช่นนั้นก็แค่หาเจ้านายเป็นที่พึ่งพิง หรือไม่ก็ยอมเป็นลูกบุญธรรมของใครสักคนก็เพียงพอแล้ว”

เสี่ยวอานจื่อยิ้มออกมาราวกับกำลังยกของหนัก “ในพระราชวังไม่มีใครที่คุ้มค่าแก่การพึ่งพิง เจ้าไม่รู้หรือว่าทัศนคติของฝ่าบาทเป็นเช่นไร การรับใครสักคนเป็นลูกบุญธรรมนั้นไร้สาระยิ่งกว่า เกรงว่าสิ่งที่เจ้าพูดคงเป็นเพียงเรื่องตลก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ออกมาจากพระราชวังหลังจากที่เข้าไปด้วยซ้ำ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ อินชิงเสวียนก็อดมิได้ที่จะคิดขึ้นมาว่า

“ฝ่าบาทไม่ต้องการสตรี?”

เสี่ยวอานจื่อนำมือขึ้นมาปิดปากของตัวเอง “ข้าเคยได้ยินมาว่าฝ่าบาทเคยมีสตรีนางหนึ่ง คนนั้นก็คือท่านผู้ที่อยู่ในวังเย็น ดูเหมือนว่านางจะใช้แผนการอะไรบางอย่าง มิเช่นนั้นฝ่าบาทก็ไม่อาจส่งนางเข้าไปในวังเย็นได้”

อินชิงเสวียนถอนหายใจและกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าตอนแรกนายท่านผู้นั้นคือพระชายาองค์รัชทายาท การที่อยู่ด้วยกันก็หาใช่เรื่องแปลก หากฝ่าบาทไม่ใกล้ชิดผู้หญิงถึงจะแปลก”

เสี่ยวอานจื่อรีบกล่าวออกมา “อย่าพูดเรื่องไร้สาระออกมาเป็นอันขาด ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในระหว่างนั้น”

“ยังมีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?”

“ข้าเองก็มิค่อยแน่ใจ เลิกถามได้แล้ว”

เห็นเถ้าแก่ของคนขับรถเข้ามา เสี่ยวอานจื่อก็รีบหุบปากอย่างรวดเร็ว

อินชิงเสวียนเองก็หยุดอยู่แค่นั้น เสี่ยวอานจื่อมิใช่คนใหญ่คนโตอะไร ข้อมูลที่เขาได้รู้มาทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่ได้ยินมาจากหลี่เต๋อฝู

ทั้งสองคนขึ้นไปนั่งบนรถม้าด้วยตัวเอง สิบห้านาทีต่อมาก็มาถึงถนนเทียน

เมื่อรถม้าผ่านโรงน้ำชาแห่งหนึ่งก็ได้ยินคนพูดมาว่า “หลังจากฝ่าบาทขึ้นครองราชย์บัลลังก์ได้หนึ่งปี บ้านเมืองก็ต้องเผชิญหน้ากับภัยแรง เจ้าว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ”

“ไม่มีทาง น่าจะเป็นเพราะสวรรค์คงมิอยากให้ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์บัลลังก์เป็นแน่ บางทีนี่อาจเป็นการลงโทษจากสวรรค์”

“ตั้งแต่สมัยโบราณ ลูกของนางสนมไม่มีคุณสมบัติที่จะสืบทอดราชบัลลังก์ อันผิงอ๋องควรจะได้ครองบัลลังก์มากกว่า”

“อันผิงอ๋องคือพระราชโอรสของไทเฮา เขายังอายุน้อยและเป็นคนดี แต่น่าเสียดาย......”

อีกคนหนึ่งพูดออกมาว่า “เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว หากคนอื่นได้ยินเข้าพวกเจ้าอาจจะถูกตัดหัว”

อินชิงเสวียนมองไปที่คนในโรงน้ำชาเหล่านั้น

ทั้งสองนั่งอยู่บนรถม้า บนเสื้อผ้าและใบหน้าเลอะไปด้วยแป้งสีขาว ทำให้ดูตลกเล็กน้อย

เมื่อเห็นสภาพที่น่าอายของทั้งสองคน มุมปากของเย่จิ่งอวี้ก็ยกตัวขึ้นมา และเดินออกไปที่ประตู

“พวกเจ้าสองคนไปที่ใดมา เหตุใดถึงได้ดูมอมแมมเช่นนี้”

ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้น เห็นฝ่าบาทยืนอยู่หน้าประตูก็รีบคุกเข่าลงทันใด

“ถวายบังคมฝ่าบาท”

เย่จิ่งอวี้กล่าวอย่างใจเย็น “ลุกขึ้นมาเถิด นำเมล็ดพืชมาแล้วหรือยัง”

เสี่ยวอานจื่อรีบตอบกลับไปว่า “นำมาแล้ว รถม้าถูกลากไปยังห้องทรงพระอักษรเป็นที่เรียบร้อย”

อินชิงเสวียนกล่าวออกมาอีกว่า “กระหม่อมได้นำข้าวสารและแป้งมาด้วยจำนวนหนึ่ง ฝ่าบาทได้โปรดรับมันไว้”

“งั้นหรือ”

เย่จิ่งอวี้เดินออกจากประตู เสื้อคลุมที่ขาวนวลราวกับแสงจันทร์ทำให้เขาดูเหมือนต้นหยก ร่าเริงแจ่มใส สง่างามทุกการเคลื่อนไหว

อินชิงเสวียนอดมิได้ที่จะอ้าปากค้าง นึกถึงประโยคโบราณที่เคยได้ยินมา

เคร่งขรึมราวกับลมใต้ต้นสน สดใสราวกับพระจันทร์ในป่า

เย่จิ่งอวี้เหมือนกับชายหนุ่มรูปงามที่เดินออกมาจากเทพนิยาย

เห็นบ่าวจ้องมองตนเองด้วยสายตาที่ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เย่จิ่งอวี้มีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูก เชาเหลือบมองอินชิงเสวียนพร้อมกล่าวว่า “ลุกขึ้นมาเถิด”

“พ่ะย่ะค่ะ”

อินชิงเสวียนรีบดึงคางของตนเองขึ้นมาทันที

จะลุ่มหลงในความงดงามของเย่จิ่งอวี้มิได้เป็นอันขาด

เพราะเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจของเจ้า...

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์