สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 58

เย่จิ่งอวี้มือไขว้หลัง ค่อยๆ เดินไปอยู่ตรงหน้ารถม้า

ดูข้าวสารที่ใส่อยู่เต็มถังไม้ ถามขึ้นมาว่า “นี่คือสิ่งใด”

“นี่คือข้าวสาร ปลูกจากนา และเป็นที่แพร่หลายในแคว้นหวาซย่า ช่วยให้อิ่มท้องได้นานมาก อีกทั้งรสชาติดียิ่งนัก”

อินชิงเสวียนชี้ไปที่แป้งขาว พูดแนะนำให้เย่จิ่งอวี้ฟังว่า “นี่เป็นแป้งสาลีที่กระหม่อมใช้ห่อเกี๊ยวให้ฝ่าบาท เรียกกันว่าแป้ง ที่ปลูกอยู่ในวนอวิ๋นเซียง สามารถทำเป็นสิ่งนี้ได้ ที่เหลือก็คือเมล็ดพันธุ์”

เย่จิ่งอวี้มองดูแป้งขาว กล่าวว่าประเสริฐยิ่งไม่หยุด คิดไม่ถึงว่าของเช่นนี้จะเปลี่ยนเป็นเกี๊ยวแสนอร่อยเพียงนั้นได้ จากนั้นก็มองไปที่ข้าวสาร ครุ่นคิดว่าสิ่งนี้จะมีรสชาติเช่นไร

อินชิงเสวียนรีบเร่งอธิบาย “หากฝ่าบาทอยากเสวย กระหม่อมจะจัดเตรียมให้”

เย่จิ่งอวี้พยักหน้า แล้วกวาดตามองเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น

ยื่นมือหยิบขึ้นมาหนึ่งกำมือ เห็นเมล็ดพันธุ์เต่งตึง นัยน์ตาน้ำลึกเปี่ยมด้วยความสุข

“ดี ดียิ่งนัก เมล็ดพันธุ์มากมายเช่นนี้จะให้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์อีกไม่น้อย หากปีหน้าลมฟ้าอากาศดี ประชากรต้าโจวไม่อดตายแล้ว”

อิงชิงเสวียนมองดวงตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้ที่ยิ้มอยู่ อินชิงเสวียนอดนึกถึงคำพูดที่ชาวบ้านพูดถึงกันนั้น มุมปากค่อยๆ ตกลง

เย่จิ่งอวี้กำเมล็ดพันธุ์ไว้ในมือ หันไปกล่าวกับหลี่เต๋อฝูว่า “รีบไปเรียกเสนาบดีกรมพระคลังมาพบ เสี่ยวเสวียนจื่อ เจ้าตามข้ามา”

“พ่ะย่ะค่ะ”

อินชิงเสวียนตามเย่จิ่งอวี้ไปห้องหนังสือ แล้วรีบเดินไปอยู่หน้าถังน้ำแข็ง เย็นสบายนัก

เย่จิ่งอวี้สยายอาภรณ์ นั่งลงบนบัลลังก์เศียรมังกรที่ทำจากไม้

พูดด้วยน้ำเสียงชื่นบานว่า “เห็นแก่คุณความดีที่เจ้าถวายเมล็ดพันธุ์ เราจะปล่อยตัวน้องสาวและหมัวมัวเฒ่านั่นออกจากวังเย็น ไปรับใช้เจ้านายคนใหม่ เช่นนี้พวกเจ้าจะพบหน้ากันก็สะดวก”

อินชิงเสวียนสะดุ้ง รีบคุกเข่าลงพื้น

“มิได้นะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

เย่จิ่งอวี้ตกใจเล็กน้อย เม้มปากถามว่า “เพราะเหตุใด”

อินชิงเสวียนรีบเร่งอธิบาย “น้องสาวของกระหม่อมและยายหลี่อยู่ในวังเย็นจนชนแล้ว หากถูกปล่อยตัวออกมาคงไม่มีทางปรับตัวได้ หากทำให้เจ้านายโกรธขึ้นมา คงถูกลงโทษอีก มิสู้ให้พวกนางอยู่ในวังเย็นต่อเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้ว “นี่มันอันใดกัน หรือด้านนอกนี้ดีสู้วังเย็นไม่ได้หรือ”

ก็แหงล่ะสิ ตอนนี้ชีวิตด้านนอกนี้ไม่ดีเท่าชีวิตในวังเย็นจริงๆ

ช่วงเวลาที่ตนอยู่ด้านนอกนี้ คุกเข่าจนเข่าถลอกปอกเปิกหมดแล้ว

แต่ปากกลับพูดว่า “หลังจากที่เจ้านายในวังเย็นสิ้นลง พวกนางก็กลับกลายเป็นคนเชื่องช้า ไม่เหมาะกับการรับใช้เจ้านายอีก กระหม่อมไม่อยากเห็นน้องสาวถูกเจ้านายดุด่าอีก ขอฝ่าบาทถอนพระทัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้เข้าใจความหมายของอินชิงเสวียนแล้วบ้าง นิ่งเงียบไปสักครู่แล้วกล่าวว่า “ช่างเถิด เช่นนั้นก็ให้พวกนางอยู่ต่อไปก่อน หากเราเลือกเจ้านายที่จิตใจดีมีเมตตาได้แล้ว ค่อยให้พวกนางออกมา”

อินชิงเสวียนถอนหายใจโล่งอก คุกเข่ากล่าวว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

เพิ่งสิ้นเสียงอินชิงเสวียน เสียงของหลี่เต๋อฝูดังคล้อยเข้ามา

“เสนาบดีกรมพระคลังหานสือ ทูลเข้าเฝ้าฝ่าบาท”

“เรียกตัวเข้ามา”

เย่จิ่งอวี้พูดจบก็โบกมือไปทางอินชิงเสวียน

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน สายหน่อยค่อยมาปรนนิบัติ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

อินชิงเสวียนค้อมกายเดินถอยออกไป

เพิ่งถึงปากประตูก็ถูกหลี่เต๋อฝูดึงตัวไว้

“ในเมื่อเจ้าทำข้าวสารนั้นเป็น ก็รีบไปปรุงให้ฮ่องเต้ที่ห้องเครื่องเร็ว ช่วงนี้ความอยากอาหารของฮ่องเต้ไม่สู้ดีนัก ผอมจนจะจากโลกแล้ว”

พูดจบหลี่เต๋อฝูก็พูดขึ้นอีกว่า “เสี่ยวอานจื่อ เจ้าตามเสี่ยวเสวียนจื่อไป ดูเขาให้ดี”

เสี่ยวอานจื่อเข้าใจในทันทีว่าแท้จริงอาจารย์ไม่ไว้ในเสี่ยวเสวียนจื่อ รีบตอบรับว่า “ขอรับท่านอาจารย์ ข้ารับรองว่าจะจับตาดูเสี่ยวเสวียนจื่ออย่างดี”

อินชิงเสวียนกลอกตาบน ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อสิ ออกไปด้านนอกอย่างไรก็ดีกว่ายืนตากแดดอยู่ตรงนี้ตั้งหลายเท่า

ทั้งสองเรียกตัวขันทีน้อยหลายคนให้ยกข้าวสารนั้นไปที่ห้องเครื่อง

พ่อครัวในห้องเครี่องพอรู้ว่าคนเหล่านี้เป็นคนที่หลี่กงกงส่งตัวมาก ไม่กล้าชักช้า รีบจุดเตาไฟขึ้นทันที

อินชิงเสวียนตักข้าวสารมาถ้วยหนึ่ง สายตากวาดไปเห็นน้ำมันหมูที่อยู่ด้านข้าง ใช้เกลือนวดแป้ง แล้วทำเปี๊ยะมันหมูขึ้นหลายแผ่น

เปี๊ยะทำเสร็จแล้ว ข้าวก็หุงจนส่งกลิ่นหอมแล้ว

เสี่ยวอานจื่ออดไม่ได้สูดจมูกดม น้ำลายพลอยไหลจากมุมปากไม่รู้ตัว

โดยเฉพาะเปี๊ยะมันหมูนั่น น่ากินยิ่งนัก

อินชิงเสวียนตักข้าว แล้วใส่เข้าไปในกล่องอาหารด้วยเช่นกัน

“พวกเรากลับกันเถิด”

เสี่ยวอานจื่อพยักหน้ารับ สายตาทั้งคู่จดจ้องไปที่กล่องอาหาร

หลังจากที่อินชิงเสวียนได้ฟังเรื่องราวของเขา ก็รู้สึกว่าคนผู้นี้น่าสงสารยิ่ง

อินชิงเสวียนเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นว่ามีคนสังเกต จึงวางกล่องอาหารลงพื้น หยิบเปี๊ยะมันหมูออกมาหนึ่งแผน ฉีกแบ่งครึ่ง

“ชิมดูสิ”

เสี่ยวอานจื่อตกใจ “จะทำเช่นนี้ได้เยี่ยงไร นี่เป็นอาหารที่ให้ฝ่าบาทเสวยนะ”

“จะกลัวอะไรเล่า ข้าทำเปี๊ยะไปกี่แผ่นฝ่าบาทมิทรงทราบสักหน่อย”

อินชิงเสวียนม้วนเปี๊ยะครึ่งแผ่นที่อยู่ในมือ กัดคำหนึ่ง

พอเห็นว่าอินชิงเสวียนกินเข้าไปแล้ว เสี่ยวอานจื่อก็รับอีกครึ่งแผ่นมาด้วย กลิ่นหอมอบอวลของแป้งในปาก อร่อยจนกำมือแน่น

“เปี๊ยะนี้อร่อยยิ่งนัก”

อินชิงเสวียนยิ้มได้ใจ “ก็ต้องดูว่าใครเป็นคนทำ”

ทั้งสองนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ในสวนดอกไม้ พลันได้ยินเสียงคนพูดว่า “กระหม่อมรับใช้ตำหนักใด กล้าดีมาขโมยกินอยู่นี่”

เสี่ยวอานจื่อตกใจจนอาหารติดคอ อินชิงเสวียนรีบฉุดตัวเขาขึ้นมา ตบไปทีหลังอย่างแรง ในที่สุดอาหารก็ถูกกลืนลงคอ

พอเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นเขาเห็นหญิงสาวในอาภรณ์ชาววังยืนอยู่ไม่ไกล สวมกระโปรงสีชมพู เอียงศีรษะมองดูทั้งสองอย่างฉงนใจ

ที่แท้คือเย่ไห่ถังนี่เอง!

อินชิงเสวียนเบาใจลงเล็กน้อย

“กระหม่อมคารวะองค์หญิง”

เย่ไห่ถังก็เห็นชัดว่าเป็นอินชิงเสวียน อดไม่ได้หัวเราะขึ้นกล่าว “เจ้านี่เอง ตามสบายเถอะ”

ระหว่างที่ตรัสสั่ง ก็ย่างกายมาถึงตรงหน้าทั้งสองแล้ว สายตาจดจ้องไปที่กล้องอาหารอย่างสงสัย “ในกล่องนี้ใส่อะไรไว้หรือ หอมยิ่งนัก”

อินชิงเสวียนรีบยกกล่องอาหารขึ้น “นี่เป็นแผ่นเปี๊ยะที่กระหม่อมทำให้ฝ่าบาท องค์หญิงต้องการชิมดูหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เย่ไห่ถังลังเลไปชั่วครู่ “นี่... แล้วเสด็จพี่จะไม่สังเกตเห็นหรือ”

อินชิงเสวียนชอบเย่ไห่ถังไม่น้อย ยิ้มพูดขึ้นว่า “ไม่หรอกพ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้มิทรงทราบว่ากระหม่อมทำเปี๊ยะไปกี่แผ่น”

เย่ไห่ถังเม้มปาก ยิ้มหันไปมองนาง “เช่นนั้นเจ้าต้องช่วยข้ารักษาความหลับด้วย”

พูดจบยื่นมือขาวนวลดังหยกไปยังกล่องอาหาร หยิบเปี๊ยะมันหมูขึ้นมาหนึ่งแผ่น

สายตาหันมองทั่วสี่ทิศ รีบยัดเปี๊ยะเข้าปากภายในไม่กี่คำ

ตั้งแต่ที่ฮ่องเต้รับสั่งให้ในพระราชวังรับประทานอาหารเพียงสองมื้อต่อวัน เย่ไห่ถังก็ไม่เคยได้กินอิ่มเลยสักวัน ยิ่งตอนนี้ได้กินเปี๊ยะที่แสนอร่อยนี้แล้ว ตื่นเต้นจนเบิกตาโต

อินชิงเสวียนที่อยู่ข้างๆ ตกใจกับภาพตรงหน้า

นี่มันภาพลักษณ์การกินอาหารขององค์หญิงหรือนี่

คงไม่ใช่ชาวบ้านผู้อดอยากแปลงกายมาหรอกนะ

เงยหน้าขึ้นอีกที ก็เห็นว่าเย่ไห่ถังกินเปี๊ยะหมดแผ่นแล้ว

นางหยิบผ้าผืนเล็กขึ้นมาเช็ดมุมปาก พูดเสียงเล็กเสียงน้อยว่า “หากครั้งหน้าเจ้าทำสิ่งนี้อีก อย่าลืมเอามาให้ข้าด้วยล่ะ อวิ๋นเฟิง ตบรางวัล”

อวิ๋นเฟิงรีบหยิบหยวนเป่า ขึ้นมาสองก้อนยื่นให้กับอินชิงเสวียน。

“ขอบพระทัยองค์หญิง”

เย่ไห่ถังยิ้มรับไปทางนาง “พวกเจ้าไปกันเถอะ ข้าก็จะไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่เช่นกัน”

อินชิงเสวียนหันกายกลับมา เพิ่งจะเห็นว่าเสี่ยวอานจื่อยยังยืนอยู่ที่เดิม สายตาจดจ้องไปที่สาวรับใช้ของเย่ไห่ถังไม่วางตา

“หรือว่านี่เป็นพี่สาวคนสวยที่เจ้าชอบ”

เสี่ยวอานจื่อได้สติคืนมา หัวเราะเหอะๆ “ถูกเจ้าจับได้เสียแล้ว”

อินชิงเสวียนยื่นหยวนเป่าให้เขา “เช่นนั้นเจ้าก็เก็บไปเถอะ นี่เป็นเงินที่พี่สาวคนนั้นเคยจับเชียวนะ”

เสี่ยวอานจื่อซึ้งจนน้ำตาจะไหล

“ขอบใจเจ้ามากเสี่ยวเสวียนจื่อ เจ้าดีต่อข้ายิ่งนัก”

เสี่ยวอานจื่อกำลังจะยื่นมือไปกอด อินชิงเสวียนรีบกดหัวเขาไว้ ผลักเขาไปอีกทาง

“เจ้าอย่ามาทำตัวชวนขนลุกเช่นนี้ รีบไปส่งอาหารเถอะ”

ทั้งสองถือกล่องอาหารไว้ เดินไปถึงห้องทรงพระอักษร

มีสายตาคู่หนึ่งจากภูเขาเทียมด้านหลังที่จ้องตัวอินชิงเสวียน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์