ลู่จิ้งเสียนมองอินชิงเสวียนที่เดินไปกาย นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
หากไม่ใช่เพราะสุนัขรับใช้ตัวนี้ ตนคงไม่ต้องถูกลดตำแหน่งเป็นผิน
ยิ่งพอนึกถึงซูฉ่ายเวยทำตัวอวดดีอยู่ต่อหน้าตน สายตาของลู่จิ้งเสียนประหนึ่งมีเปลวเพลิงลุก
ยังมีกลิ่นหอมบนตัวนางแพศยานั่นอีก เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทขายน้ำหอมของนาง ลู่จิ้งเสียนโมโหจนกำผ้าในมือแน่น จิกเล็บจนทะลุเข้าเนื้อ
ฮ่องเต้ถึงขั้นพระราชทานน้ำหอมให้นางแพศยานั่น ยังมีแป้งทาหน้าที่เนียนละเอียดพอกอยู่บนหน้านาง ของดีเพียงนี้นางยังไม่เคยได้ใช้ แต่ซูฉ่ายเวยคนต่ำช้ากลับได้ใช้ตัดหน้านางก่อน
ลู่จิ้งเสียนทำตัวบ้าอำนาจในวังหลวงมาช้านาน เนื่องจากนางมีบิดาและไทเฮาคอยให้ท้าย ครานี้โดนผู้อื่นกด ไม่ต้องเอ่ยก็รู้ว่าใจนางคับแค้นเพียงใด
นางไม่มีโอกาสมาต่อกรกับขันทีผู้นี้ แต่ซูฉ่ายเวยหนีนางไม่พ้นแน่น
นางสะบัดผ้าเช็ดหน้า “ชุ่ยจู๋ พวกเราไปเดินเล่นที่หอฉงฮวากัน”
“เพคะ”
ชุ่ยจู๋รีบออกตัวไปประคองมือของงลู่จิ้งเสียน ช่วยนางปีนลงจากภูเขาเทียม
...
ณ หอฉงฮวา
สองวันมานี้ซูฉ่ายเวยชีวิตสุขสบายนัก
หลังจากที่ได้รับตำแหน่งผิน อาหารที่ฝ่ายห้องเครื่องส่งมานั้นก็ประณีตขึ้นมาก
ยิ่งวันนั้นได้อวดดีต่อหน้าลู่จิ้งเสียนไปคราหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงว่านางมีความสุขเพียงใด
พวกนางในที่ไม่ได้รับตำแหน่งใดๆ ต่างเอาใจนางกันไม่หยุด ผ่านไปสามสี่วันก็จะเอาของมาให้นาง หวังเพียงว่านางจะคอยชี้แนะ ให้พวกนางได้รับความเมตตาจากฮ่องเต้ในเร็ววันบ้าง หอฉงฮวาที่ห่างไกลความเจริญของนาง ตอนนี้คึกคักขึ้นมากโข
ข้อเสียเดียวก็คือ หลังจากวันนั้นฮ่องเต้ก็ไม่เคยเสด็จมาอีกเลย
นางส่งคนไปถามหลายครา ต่างบอกว่าฮ่องเต้ทรงงานหนักยิ่งนัก ไม่มีเวลามาหานาง กระนั้น ฮ่องเต้ก็มิได้เสด็จไปหาผู้อื่น ข้อนี้ทำให้ซูฉ่ายเวยสบายใจขึ้นมาก
ก่อนหน้านี้นางเคยได้ยินบิดากล่าว่า ปีนี้แผ่นดินแห้งแล้ง โรคภัยอุบัติ พวกชาวบ้านต่างกรูกันเข้ามาร้องทุกข์ในเมืองหลวง ฮ่องเต้ปวดเศียรเพราะเรื่องนี้ไม่เบา
ทรงงานหนักเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ประเสริฐ
พอนึกขึ้นได้ว่าสามีของตนทั้งสง่างามและยังทรงงานอย่างหนัก มุมปากของซูฉ่ายเวยเผยอขึ้นอย่างได้ใจ
รอให้สะสางงานราชการให้เรียบร้อย คงมาหาข้าอย่างแน่นอน
นางนึกภาพตนกับเย่จิ่งอวี้กอดพะเน้าพะนอกัน ซูฉ่ายเวยพลันหน้าแดงเรื่อ สายตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความหยาดเยิ้ม
ขณะที่นางกำลังเคลิ้มอยู่ในภาพจินตนาการ ทันใดนั้นเซียงหลานก็เดินพรวดเข้ามา
สีหน้าท่าทางตกใจไม่เบา “เจ้านาย เสียนผินเสด็จมาเจ้าค่ะ”
ภาพฝันของซูฉ่ายเวยแตกลงเป็นเสี่ยงๆ รู้สึกรำคาญใจนัก
“นางมาทำไม”
ลู่จิ้งเสียนเดินเข้ามาถึงด้านในแล้ว ปากยิ้มแต่สายตาดุดัน “ข้ามาดูน้องสาวเสียหน่อย”
นางเหลียวมองทั่วสี่ทิศ ยิ้มพลางกล่าว “จึ๊ๆ เจ้าถูกเลื่อนขึ้นเป็นถึงผิน แต่ฝ่าบาทกลับให้เจ้าอยู่ในหองฉงฮวาซอมซ่อนี่ ที่แท้ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ดีต่อเจ้าเท่าใดนักนี่”
ซูฉ่ายเวยหัวเราะหึ ลุกขึ้นมาอย่างไม่ยอมแพ้
“อาศัยอยู่ที่ใดก็ไม่สำคัญหรอก ขอเพียงพระทัยของฮ่องเต้อยู่ที่นั่นด้วยก็พอ แม้ว่าท่านพี่จะได้อาศัยอยู่ในวังจิ้งอาน แต่น้องกลับได้ยินว่าฮ่องเต้ไม่เคยเสด็จไปเลยสักคราเดียว”
ลู่จิ้งเสียนถูกจี้ใจดำ สีหน้าพลันเปลี่ยน นางเค้นรอยยิ้มจากปาก แก้ต่างแทนตนว่า “พระทัยฮ่องเต้ยกประชาชนเป็นยิ่ง จะมาเกี้ยวพาราสีกับนารีอย่างเดียวได้อย่างไร”
ซูฉ่ายเวยขำ “คำพูดนี้ช่างน่าขบขันยิ่งนัก ฮ่องเต้มิใช่เทพเซียน เหตุใดจึงจะเกี้ยวพาราสีกับนารีมิได้เล่า ข้าว่าท่านพี่พอไม่ได้กินองุ่น จึงหาว่าองุ่นนั้นเปรี้ยวเข็ดฟัน ”
ลู่จิ้งเสียนจับจุดอ่อนจากคำพูดของซูฉ่ายเวยไว้ได้
“นี่เจ้ากล้าหาว่าฮ่องเต้เป็นองุ่นงั้นหรือ ชุ่ยจู๋ ตบปากนาง”
ชุ่ยจู๋ม้วนแขนเสื้อขึ้นอย่างตื่นเต้น ซูฉ่ายเวยอดไมได้เดินถอยหลังไปสองก้าว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...