สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 59

ลู่จิ้งเสียนมองอินชิงเสวียนที่เดินไปกาย นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

หากไม่ใช่เพราะสุนัขรับใช้ตัวนี้ ตนคงไม่ต้องถูกลดตำแหน่งเป็นผิน

ยิ่งพอนึกถึงซูฉ่ายเวยทำตัวอวดดีอยู่ต่อหน้าตน สายตาของลู่จิ้งเสียนประหนึ่งมีเปลวเพลิงลุก

ยังมีกลิ่นหอมบนตัวนางแพศยานั่นอีก เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทขายน้ำหอมของนาง ลู่จิ้งเสียนโมโหจนกำผ้าในมือแน่น จิกเล็บจนทะลุเข้าเนื้อ

ฮ่องเต้ถึงขั้นพระราชทานน้ำหอมให้นางแพศยานั่น ยังมีแป้งทาหน้าที่เนียนละเอียดพอกอยู่บนหน้านาง ของดีเพียงนี้นางยังไม่เคยได้ใช้ แต่ซูฉ่ายเวยคนต่ำช้ากลับได้ใช้ตัดหน้านางก่อน

ลู่จิ้งเสียนทำตัวบ้าอำนาจในวังหลวงมาช้านาน เนื่องจากนางมีบิดาและไทเฮาคอยให้ท้าย ครานี้โดนผู้อื่นกด ไม่ต้องเอ่ยก็รู้ว่าใจนางคับแค้นเพียงใด

นางไม่มีโอกาสมาต่อกรกับขันทีผู้นี้ แต่ซูฉ่ายเวยหนีนางไม่พ้นแน่น

นางสะบัดผ้าเช็ดหน้า “ชุ่ยจู๋ พวกเราไปเดินเล่นที่หอฉงฮวากัน”

“เพคะ”

ชุ่ยจู๋รีบออกตัวไปประคองมือของงลู่จิ้งเสียน ช่วยนางปีนลงจากภูเขาเทียม

...

ณ หอฉงฮวา

สองวันมานี้ซูฉ่ายเวยชีวิตสุขสบายนัก

หลังจากที่ได้รับตำแหน่งผิน อาหารที่ฝ่ายห้องเครื่องส่งมานั้นก็ประณีตขึ้นมาก

ยิ่งวันนั้นได้อวดดีต่อหน้าลู่จิ้งเสียนไปคราหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงว่านางมีความสุขเพียงใด

พวกนางในที่ไม่ได้รับตำแหน่งใดๆ ต่างเอาใจนางกันไม่หยุด ผ่านไปสามสี่วันก็จะเอาของมาให้นาง หวังเพียงว่านางจะคอยชี้แนะ ให้พวกนางได้รับความเมตตาจากฮ่องเต้ในเร็ววันบ้าง หอฉงฮวาที่ห่างไกลความเจริญของนาง ตอนนี้คึกคักขึ้นมากโข

ข้อเสียเดียวก็คือ หลังจากวันนั้นฮ่องเต้ก็ไม่เคยเสด็จมาอีกเลย

นางส่งคนไปถามหลายครา ต่างบอกว่าฮ่องเต้ทรงงานหนักยิ่งนัก ไม่มีเวลามาหานาง กระนั้น ฮ่องเต้ก็มิได้เสด็จไปหาผู้อื่น ข้อนี้ทำให้ซูฉ่ายเวยสบายใจขึ้นมาก

ก่อนหน้านี้นางเคยได้ยินบิดากล่าว่า ปีนี้แผ่นดินแห้งแล้ง โรคภัยอุบัติ พวกชาวบ้านต่างกรูกันเข้ามาร้องทุกข์ในเมืองหลวง ฮ่องเต้ปวดเศียรเพราะเรื่องนี้ไม่เบา

ทรงงานหนักเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ประเสริฐ

พอนึกขึ้นได้ว่าสามีของตนทั้งสง่างามและยังทรงงานอย่างหนัก มุมปากของซูฉ่ายเวยเผยอขึ้นอย่างได้ใจ

รอให้สะสางงานราชการให้เรียบร้อย คงมาหาข้าอย่างแน่นอน

นางนึกภาพตนกับเย่จิ่งอวี้กอดพะเน้าพะนอกัน ซูฉ่ายเวยพลันหน้าแดงเรื่อ สายตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความหยาดเยิ้ม

ขณะที่นางกำลังเคลิ้มอยู่ในภาพจินตนาการ ทันใดนั้นเซียงหลานก็เดินพรวดเข้ามา

สีหน้าท่าทางตกใจไม่เบา “เจ้านาย เสียนผินเสด็จมาเจ้าค่ะ”

ภาพฝันของซูฉ่ายเวยแตกลงเป็นเสี่ยงๆ รู้สึกรำคาญใจนัก

“นางมาทำไม”

ลู่จิ้งเสียนเดินเข้ามาถึงด้านในแล้ว ปากยิ้มแต่สายตาดุดัน “ข้ามาดูน้องสาวเสียหน่อย”

นางเหลียวมองทั่วสี่ทิศ ยิ้มพลางกล่าว “จึ๊ๆ เจ้าถูกเลื่อนขึ้นเป็นถึงผิน แต่ฝ่าบาทกลับให้เจ้าอยู่ในหองฉงฮวาซอมซ่อนี่ ที่แท้ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ดีต่อเจ้าเท่าใดนักนี่”

ซูฉ่ายเวยหัวเราะหึ ลุกขึ้นมาอย่างไม่ยอมแพ้

“อาศัยอยู่ที่ใดก็ไม่สำคัญหรอก ขอเพียงพระทัยของฮ่องเต้อยู่ที่นั่นด้วยก็พอ แม้ว่าท่านพี่จะได้อาศัยอยู่ในวังจิ้งอาน แต่น้องกลับได้ยินว่าฮ่องเต้ไม่เคยเสด็จไปเลยสักคราเดียว”

ลู่จิ้งเสียนถูกจี้ใจดำ สีหน้าพลันเปลี่ยน นางเค้นรอยยิ้มจากปาก แก้ต่างแทนตนว่า “พระทัยฮ่องเต้ยกประชาชนเป็นยิ่ง จะมาเกี้ยวพาราสีกับนารีอย่างเดียวได้อย่างไร”

ซูฉ่ายเวยขำ “คำพูดนี้ช่างน่าขบขันยิ่งนัก ฮ่องเต้มิใช่เทพเซียน เหตุใดจึงจะเกี้ยวพาราสีกับนารีมิได้เล่า ข้าว่าท่านพี่พอไม่ได้กินองุ่น จึงหาว่าองุ่นนั้นเปรี้ยวเข็ดฟัน ”

ลู่จิ้งเสียนจับจุดอ่อนจากคำพูดของซูฉ่ายเวยไว้ได้

“นี่เจ้ากล้าหาว่าฮ่องเต้เป็นองุ่นงั้นหรือ ชุ่ยจู๋ ตบปากนาง”

ชุ่ยจู๋ม้วนแขนเสื้อขึ้นอย่างตื่นเต้น ซูฉ่ายเวยอดไมได้เดินถอยหลังไปสองก้าว

“เจ้ากล้าหรือไง ข้าเป็นผินมีศักดิ์เทียบเท่ากับเจ้า เจ้ากล้าดีอย่างไรมาแตะต้องข้า”

เซียงหลานรีบเดินขึ้นมายืนบังเจ้านายของตน กลับโดนชุ่ยจู๋ตบเข้าฉาดใหญ่จนเซไปด้านข้าง

พอเห็นว่าชุ่ยจู๋กำลังเดินมาทางตน ซูฉ่ายเวยก็โมโหขึ้นแล้วจริงๆ

ตอนนี้นางเป็นผินแล้ว จะมาให้บ่าวรับใช้รังแกได้อย่างไร ยกมือขึ้นฟาดลงบนใบหน้าของชุ่ยจู๋อย่างจัง

“สุนัขบ้า เจ้ากล้าดีอย่างไรจะมาลงมือกับข้า ใครก็ได้ สั่งสอนสุนัขรับใช้ตัวนี้อย่างสาสมที”

ลู่จิ้งเสียนเห็นว่าสาวรับใช้ของตนถูกทุบตี รู้สึกว่าตนเสียหน้าเป็นที่สุด เดินไปจิกศีรษะของซูฉ่ายเวย จิกผมของนางแน่น ตบหน้านางไปสองฉาดใหญ่

“อย่าคิดว่าฮ่องเต้แต่งตั้งเจ้าเป็นผินก็จะขี่อยู่บนหัวข้าได้ วังหลังนี้ยังมีไทเฮาอยู่ ต่อให้เจ้าจะเป็นใหญ่แล้วจะใหญ่ค้ำหัวไทเฮาได้หรือไง”

ซูฉ่ายเวยพอได้ยินคำพูดนี้ก็เอามือกุมหน้า ใจเย็นยะเยือก

ลู่จิ้งเสียนเป็นหลานสาวแท้ๆ ของไทเฮา หากว่าตนเป็นที่รักของฮ่องเต้แล้วจริงๆ ก็ช่างเถิด แต่นี่กลับยังไม่เคยได้รับความรักจากฮ่องเต้เลยสักครา นางไม่มีปัญญาประมือกับลู่จิ้งเสียนจริงๆ

ลู่จิ้งเสียนพอเห็นว่าซูฉ่ายเวยไม่ขยับตัว จึงได้ใจยกยิ้มขึ้น

“นับว่าเจ้ารู้สถานการณ์ ซูฉ่ายเวย เจ้าจำไว้ให้ดี อย่าว่าแต่เจ้าเป็นผินเลย ต่อให้เจ้าได้เป็นเฟย ก็อย่ามาอวดดีต่อหน้าข้า ชุ่ยจู๋ กลับ!”

ซูฉ่ายเวยมองลู่จิ้งเสียนเดินออกไป สายตาแดงก่ำ ฟุบตัวลงบนโต๊ะเจ็บใจร่ำไห้

เซียงหลานหน้าบวมเป่ง ถามเจ้านายตนด้วยเสียงในลำคอว่า “เจ้านาย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

ซูฉ่ายเวยโกรธจนปาถ้วยชาลงบนพื้น

“เจ้าถามโง่ๆ แบบนี้ได้อย่างไร”

เซียงหลานนั่งลงเก็บเศษถ้วยชา พูดเสียงเบาว่า “หากเจ้านายได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาท พวกนางคงไม่กล้าทำเช่นนี้กับท่านอีก เจ้านายควรไปห้องทรงพระอักษรบ่อยๆ ต่อให้ไม่ได้พบหน้าฝ่าบาท อย่างน้อยก็จะคุ้นเคยกับพวกขันทีมากขึ้นนะเจ้าคะ”

ซูฉ่ายเวยค่อยๆ ซับน้ำตา เซียงหลานพูดถูก นั่งรอโชคหล่นทับที่นี่ มิสู้เดินไปหาโชคเองเสียจะดีกว่า

“รีบไปหาน้ำแข็งมาประคบหน้าข้าเร็ว ข้าจะไปหาฮ่องเต้เดี๋ยวนี้”

ขณะนี้อินชิงเสวียนกับเสี่ยวอานจื่อกลับถึงห้องทรงพระอักษรแล้ว

เย่จิ่งอวี้ยังหารือกับหานสืออยู่ ทั้งสองจึงรออยู่หน้าประตู เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ ในที่สุดหานสือก็เดินออกมาด้านนอก

หลี่เต๋อฝู่รีบมายิ้มประจบ “เชิญไต้เท้าหาน”

หานสือยกมือขึ้นคำนับหลี่เต๋อฝู จ้ำเดินจากไปทันที

หลี่เต๋อฝูรีบมองไปทางอินชิงเสวียน

“พวกเจ้าเตรียมของเสร็จรึยัง”

เสี่ยวอานจื่อรีบตอบว่า “เสร็จแล้วขอรับ”

“เช่นนั้นก็เข้ามาเถิด”

หลี่เต๋อฝูเดินนำอินชิงเสวียนไปยังห้องทรงพระอักษร ค้อมกายกล่าว “ฝ่าบาท เสี่ยวเสวียนจื่อกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้กำลังเขียนบางอย่าง พอได้ยินจึงรีบเงยหน้าขึ้น

อินชิงเสวียนรีบเปิดกล่องอาหาร กลิ่นหอมจากด้านในโชยแตะปลายจมูก หลี่เต๋อฝูสูดดมแรงอย่างไม่รู้ตัว

หอมยิ่งนัก!

อินชิงเสวียนหยิบเปี๊ยะกับข้าวออกจากกล่องแล้ว แนะนำทีละอย่างว่า “นี่คือแผ่นเปี๊ยะมันหมูทำจากแป้งข้าวสาลี และถ้วยนี้คือข้าวสวยที่หุงจากข้าวสารปลูกนา ฝ่าบาทเสวยขณะร้อนๆ ขณะร้อนๆ กำลังดีพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบแผ่นเปี๊ยะ พอใส่เข้าปากทั้งหอมทั้งนุ่ม ยังมีรสเค็มอ่อนๆ อร่อยยิ่งนัก

“รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ”

จากนั้นก็ชิมข้าวอีกหนึ่งคำ เคี้ยวอย่างละเอียดจนได้รสหวาน อร่อยกว่าพวกข้าวเหนียว ข้าวฟ่างในต้าโจวมาก

จึงอดไม่ได้ตรัสขึ้นว่า “นึกไม่ถึงว่าใต้หล้านี้จะมีธัญพืชที่รสชาติดีเยี่ยงนี้”

แล้วทรงหยิบพู่กันขึ้น แต้มหมึกจนแน่นปลายพู่กัน บรรจงเขียนตัวอักษรเจ็ดตัวบนม้วนไผ่

‘ข้าวที่ดีที่สุดในโลก!’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์