สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 60

อักษรเจ็ดตัวนี้ดั่งมังกรบินถลาหงษ์ร่ายระบำ ดูอิสระ พู่กันมีหนักเบา มีพลังยิ่งนัก

อินชิงเสวียนลอบอุทานในใจว่าเขียนได้ดีนัก

หลี่เต๋อฝูพลันเดินมา พูดเสียงทุ้มว่า “ฝ่าบาท หลิงผินเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้วางพู่กันลง กล่าวอย่างไม่ยินดีว่า “นางมาทำอะไร”

“ตรัสว่าจะขอพบฝ่าบาท”

หลี่เต๋อฝูหัวเราะพลาง พูดขึ้นอีกว่า “หลายวันมานี้ฝ่าบาทอ่านฎีกาติดต่อกัน ควรพักบ้างแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้จะแข็งแรงเพียงไหนหากทรงงานหนักก็มิอาจต้านทานได้”

เย่จิ่งอวี้เงยหน้ากวาดตา สายตาแหลมคม

“หรือเจ้าก็ได้ผลประโยชน์จากซูฉ่ายเวยด้วย”

หลี่เต๋อฝูลนลานคุกเข่าลงพื้น โขกหัวพูดว่า “กระหม่อมมิบังอาจ กระหม่อมเกรงว่าจะทรงงานหนักมากเกินไปจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

อินชิงเสวียนเห็นหลี่เต๋อฝูที่แก่มากแล้ว ต้องมาคุกเข่าร้องขอชีวิตด้วยความกลัวเช่นนี้ อดนึกถึงยายหลี่ที่อยู่ในวังเย็นขึ้นมาไม่ได้

จึงพูดอยู่ข้างๆ ว่า “ฝ่าบาท หลี่กงกงเห็นแก่พระวรกายของพระองค์จริงๆ อีกทั้งทรงงานควรก็แบ่งสมดุลให้ดีจึงจะมีผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น”

“แบ่งสมดุลให้ดี?”

เย่จิ่งอวี้ผ่อนสีหน้าลง

“คำพูดของเจ้านี้มีเหตุผลนัก”

พอนึกถึงคำพูดของไทเฮาว่าอีกไม่นานลู่งจิ้งเสียนคงกลับคืนตำแหน่ง ความเย็นชาแวบผ่านนัยน์ตาไป

“เช่นนั้นก็ให้หลิงผินเข้ามาเถิด!”

หลี่เต๋อฝูมองไปทางอินชิงเสวียนอย่างซาบซึ้ง “ฝ่าบาททรงรับสั่งให้หลิงผินเข้าเฝ้า!”

ซูฉ่ายเวยกำลังรออยู่ด้านนอก รอครึ่งค่อนวันแล้วยังไม่มีวี่แวว ใจพลันเย็นวาบ

วันนี้ก็คงไม่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว

ขณะที่นางกำลังเตรียมจะกล่าวลานั้น ได้ยินเสียงฮ่องเต้เรียกนางเข้าเฝ้า จึงรีบหันไปบอกเซียงหลานว่า “เจ้ารีบช่วยข้าดูหน่อยว่าหน้าตาข้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง อาภรณ์เรียบร้อยดีหรือไม่”

เซียงหลานกวาดตาขึ้นลง ยิ้มอย่างดีใจว่า “เรียบร้อยดีเจ้าค่ะ เจ้านายรีบเข้าไปเถอะเจ้าค่ะ!”

ซูฉ่ายเวยถามขึ้นอีกว่า “แก้มข้ายังแดงอยู่หรือไม่”

“ยังมีรอยแดงเล็กน้อยเจ้าค่ะ หากฮ่องเต้ตรัสถามขึ้นมา เจ้านายก็ฟ้องฮ่องเต้เรื่องเสียนผินมารังแกได้”

เซียงหลานพูดขึ้นด้วยความโกรธ จนตอนนี้ใบหน้านางยังเจ็บอยู่เลย

ซูฉ่ายเวยพูดอย่างเจ็บแค้นว่า “เจ้าพูดถูก พวกเราเข้าไปกันเถอะ”

“หม่อมฉันเข้าเฝ้าฝ่าบาท คารวะฝ่าบาท”

ซูฉ่ายเวยกราบสามครั้ง คำนับเก้าครั้งทำความเคารพอย่างสูงที่สุดของวังหลวง

เย่จิ่งอวี้กล่าวเสียงราบ “ลุกขึ้นเถอะ”

ซูฉ่ายเวยลุกขึ้น ทันใดก็เห็นอินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ข้างกายเย่จิ่งอวี้ เห็นเขามองมาทางตนแล้วยิ้มพยักหน้า หรือคือคนผู้นี้ที่ช่วยนางไว้

พลันรู้สึกว่าขันทีน้อยผู้นี้มีฝีมือไม่น้อย ต้องสร้างสัมพันธ์ไว้ให้ดี

อินชิงเสวียนแม้ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยนางแต่แรก แต่น้ำใจครานี้นางจำต้องรับไว้ จึงได้แสดงท่าทางเช่นนั้นออกไป พอเห็นท่าทีของซูฉ่ายเวยที่แสดงออกเช่นนั้น อินชิงเสวียนจึงรู้ว่าเข้าทางตนแล้ว หากสองวันนี้มีเวลาจะไปขายของให้นางสักหน่อย

ทั้งสองประสานสายตา ต่างมีความคิดของตน

เย่จิ่งอวี้ไม่ได้ตรัสสิ่งใดอีก ภายในห้องเงียบสงัด

ซูฉ่ายเวยยืนอยู่ตรงนั้นรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ จึงกระแอมขึ้นกล่าว “ช่วงนี้ฝ่าบาททรงงานหนักยิ่งนัก คงเหนื่อยไม่เบา ก่อนที่หม่อมฉันจะเข้าวังเคยฝึกนวดมาบ้าง ฝ่าบาทจะยินยอมให้หม่อมฉันนวดพระวรกายให้หรือไม่เพคะ”

เย่จิ่งอวี้ตอบอืม เป็นเชิงให้นางมานวดให้

ซูฉ่ายเวยได้ใจ รีบยัดผ้าเช็ดหน้าลงใต้แขนเสื้อ ย่างกายอรชรมาด้านหลังเย่จิ่งอวี้

นางในที่เข้าวังมาล้วนมีฝีมือติดตัวมาบ้าง ซูฉ่ายเวยไม่ได้มีเสียงร้องเพลงที่ไพเราะ มือเท้าก็ไม่ได้คล่องแคล่ว ดีดพิณเขียนพู่กันไม่ได้เรื่องสักอย่าง ตระกูลซูจึงหาทางอื่น เสาะหาหมอนวดมือดีมาสอนนาง ให้นางใช้เป็นเครื่องมือเอาใจฮ่องเต้ในภายหลัง

เพื่อจะได้เชิดหน้าชูตากับผู้อื่นบ้าง ซูฉ่ายเวยก็ตั้งใจฝึกฝนอย่างดี

พอเห็นว่าพระขนงของฮ่องเต้ค่อยๆ คลายออก ดวงตาหงส์ค่อยๆ หลับลง หลี่เต๋อฝูรีบโบกมือไปทา อินชิงเสวียนให้นางออกจากห้องไป

อินชิงเสวียนไม่อยากเป็นก้างขวางคอตรงนั้นแต่แรกจึงรีบออกจากห้องมา

พอมาถึงปากประตู หลี่เต๋อฝูยิ้มอย่างดีใสจว่า “เสี่ยวเสวียนจื่อ เมื่อครู่นี้ขอบใจเจ้ามาก หากวันนี้ หลิงผินได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้ ให้กำเนิดลูกมังกรได้ นับว่าเจ้าเป็นผลงานเอกของเจ้าเชียวล่ะ”

“กระหม่อมจะรับไว้ได้อย่างไรเล่า นี่ล้วนเป็นเพราะความฉลาดแหลมคมของหลี่กงกง หากมีผลงาน ก็นับว่าเป็นของหลี่กงกงท่าน”

หลี่เต๋อฝูเห็นว่าอินชิงเสวียนรู้ความเช่นนี้ อดไม่ได้ยิ้มจนรอยตีนกาชัดกว่าปกติ

อินชิงเสวียนเห็นว่าอารมณ์หลี่กงกงดีไม่น้อย จึงฉวยโอกาสพูดว่า “กระหม่อมนำของกินจากบ้านเกิดติดตัวมาบ้าง อยากเอาไปให้น้องสาวที่วังเย็น กงกงโปรดอนุญาตด้วย”

หลี่เต๋อฝูคิดชั่วครู่ “ทุกครั้งที่เจ้าไปไหนก็มักจะเกิดเรื่อง ข้าว่าเจ้าอย่าไปดีกว่า เจ้าอยากเอาอะไรให้น้องสาวเจ้าเล่า เดี๋ยวข้าให้เสี่ยวอานจื่อเอาไปให้”

“คือว่าข้าก็คิดถึงน้องสาวมากเช่นกัน กงกง ข้าขอล่ะ อนุญาตให้ข้าไปพบนางสักครั้งเถิด หากกงกงไม่ไว้ใจ ก็ให้ไป๋เสวี่ยไปกับข้าได้”

นี่เป็นข้อเสนอที่ดีใช้ได้ ไป๋เสวี่ยเป็นสุนัขไม่กลัวผู้ใดอยู่แล้ว ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้มนด้วย และที่สำคัญ มันสนิทสนมกับชิงเสวียนมาก

พอหลี่เต๋อฝูนึกถึงตรงนี้ พลันนึกถึงภาพที่เกิดในจวนไท่จื่อ พระสนมไท่จื่อมักให้อาหารเจ้าไป๋เสวี่ย หลี่เต๋อฝูรีบหันหน้าไปมอง อินชิงเสวียน

“คล้าย คล้ายกันมากเหลือเกิน”

“คล้ายอะไรหรือ”

อินชิงเสวียนแสร้งโง่ทำไร้เดียงสา

หลี่เต๋อฝูพูดเสียงเบาว่า “เจ้ากับเจ้านายที่ตายในวังเย็นนั้นมีหน้าตาเหมือนกันมาก”

อินชิงเสวียนตกใจถอยหลังไปสองก้าว

“นี่ นี่มัน แล้วฮ่องเต้ทรงทราบหรือไม่”

“วางใจเถอะ ฮ่องเต้ไม่รู้จักเจ้านายในวังเย็นหรอก”

หลี่เต๋อฝูพูดจบก็รีบใช้มือป้องปาก พูดเสียงค่อยว่า “เรื่องนี้ห้ามกล่าวขึ้นมาอีก ฮ่องเต้เกลียดชังพวกเจ้านายในวังเย็นเข้ากระดูก เจ้ารีบพาไป๋เสวี่ยไปเถอะ ต้องรีบกลับมาภายในครึ่งชั่วยาม”

“ขอรับ”

อินชิงเสวียนมาถึงโถงทางเดิน ปล่อยเจ้าไป๋เสวี่ยออกมา

พอไป๋เสวี่ยเห็นนางก็ดีใจใหญ่ ตะปบใส่นาง ทั้งเดินทั้งกระโดดวนไปทั่วตัวนาง

อินชิงเสวียนจูงไป๋เสวี่ยออกจากวัง ในใจนึกถึงคำพูดของหลี่เต๋อฝู

หากวันใดเย่จิ่งอวี้พลันรู้เรื่องราวของตน จะหั่นคอตนไปเลยหรือไม่

พอนึกถึงตรงนี้ก็เสียวสันหลังวาบ

โบราณว่าไว้ อยู่ข้างกายฮ่องเต้ประหนึ่งอยู่ข้างกายพยัคฆ์ ใครจะคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ได้เล่า

รีบๆ หาทางหนีออกจากตรงนี้ให้ได้โดยเร็วจะดีที่สุด

แต่เจ้า小狗蛋นี่สิจะออกไปได้อย่างไรเล่า

นี่สิจึงจะเป็นปัญหาใหญ่

พอนึกถึงตอนกลับถึงวัง ข้าวสาร แป้ง และเมล็ดพันธุ์ต่างถูกตรวจรับไปแล้ว ในใจของอินชิงเสวียนยิ่งไม่มีข้อต่อรองเหลืออีก

หากไร้สิ้นหนทางแล้วจริง ก็ทำได้เพียงรอให้小狗蛋เติบโตขึ้น ให้เขาสวมใส่เสื้อผ้าของขันทีแล้วแฝงกายออกไปแล้วกัน

แต่กว่าจะรอให้โตเป็นผู้ใหญ่ อย่างน้อยก็ต้องรอไปอีกสิบเอ็ดสิบสองปี แค่นึกว่าต้องอยู่ข้างกายเย่จิ่งอวี้นานสิบกว่าปี อินชิงเสวียนก็ปวดหัวขึ้นมาทันที

รอถึงตอนนั้นหัวเข่านางคงเสื่อมสภาพไปหมดแล้ว

และยิ่งนึกภาพเย่จิ่งอวี้เคลิ้มกายสบายใจเมื่อครู่แล้ว อด เชอะ ขึ้นมาไม่ได้

ใต้หล้านี้ไม่มีบุรุษใดเป็นคนดีจริงๆ

ไม่เกี้ยวพาราสีกับนารี เสแสร้งทั้งนั้น

ไม่แน่ว่านวดไปนวดมาก็โผกายเข้ากอดกันแล้ว นางไม่เชื่อหรอกว่าหากซูฉ่ายเวยถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้วยืนอยู่ตรงหน้าเขา เขาจะไม่หวั่นไหวเลยสักนิด

นางไม่รู้หรอกว่าความคิดของนางตอนนี้นั้นตรงกันกับความคิดของซูฉ่ายเวยอย่างไม่ได้นัดหมาย

หลังจากที่จับๆ นวดๆ ไปครู่หนึ่ง ซูฉ่ายเวยก็อ้างว่าอากาศร้อน ถอดเสื้อคุลมชั้นนอกออก

วันนี้ฟ้าช่างเป็นใจ การได้รับความรักจากเย่จิ่งอวี้สำคัญกว่าทุกสิ่ง เพื่อให้ต้นได้เลื่อนขั้น นางขอทุ่มสุดตัวเลยแล้วกัน

แขนขาวนวลดุจหยกโอบบ่าของเย่จิ่งอวี้ไว้ ซูฉ่ายเวยออดอ้อน “ฝ่าบาทเพคะ ใคร่ไปนอนพักบนตั่งสักครู่หรือไม่ หม่อมฉันจะนวดตัวให้เพคะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์