อักษรเจ็ดตัวนี้ดั่งมังกรบินถลาหงษ์ร่ายระบำ ดูอิสระ พู่กันมีหนักเบา มีพลังยิ่งนัก
อินชิงเสวียนลอบอุทานในใจว่าเขียนได้ดีนัก
หลี่เต๋อฝูพลันเดินมา พูดเสียงทุ้มว่า “ฝ่าบาท หลิงผินเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้วางพู่กันลง กล่าวอย่างไม่ยินดีว่า “นางมาทำอะไร”
“ตรัสว่าจะขอพบฝ่าบาท”
หลี่เต๋อฝูหัวเราะพลาง พูดขึ้นอีกว่า “หลายวันมานี้ฝ่าบาทอ่านฎีกาติดต่อกัน ควรพักบ้างแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้จะแข็งแรงเพียงไหนหากทรงงานหนักก็มิอาจต้านทานได้”
เย่จิ่งอวี้เงยหน้ากวาดตา สายตาแหลมคม
“หรือเจ้าก็ได้ผลประโยชน์จากซูฉ่ายเวยด้วย”
หลี่เต๋อฝูลนลานคุกเข่าลงพื้น โขกหัวพูดว่า “กระหม่อมมิบังอาจ กระหม่อมเกรงว่าจะทรงงานหนักมากเกินไปจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
อินชิงเสวียนเห็นหลี่เต๋อฝูที่แก่มากแล้ว ต้องมาคุกเข่าร้องขอชีวิตด้วยความกลัวเช่นนี้ อดนึกถึงยายหลี่ที่อยู่ในวังเย็นขึ้นมาไม่ได้
จึงพูดอยู่ข้างๆ ว่า “ฝ่าบาท หลี่กงกงเห็นแก่พระวรกายของพระองค์จริงๆ อีกทั้งทรงงานควรก็แบ่งสมดุลให้ดีจึงจะมีผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น”
“แบ่งสมดุลให้ดี?”
เย่จิ่งอวี้ผ่อนสีหน้าลง
“คำพูดของเจ้านี้มีเหตุผลนัก”
พอนึกถึงคำพูดของไทเฮาว่าอีกไม่นานลู่งจิ้งเสียนคงกลับคืนตำแหน่ง ความเย็นชาแวบผ่านนัยน์ตาไป
“เช่นนั้นก็ให้หลิงผินเข้ามาเถิด!”
หลี่เต๋อฝูมองไปทางอินชิงเสวียนอย่างซาบซึ้ง “ฝ่าบาททรงรับสั่งให้หลิงผินเข้าเฝ้า!”
ซูฉ่ายเวยกำลังรออยู่ด้านนอก รอครึ่งค่อนวันแล้วยังไม่มีวี่แวว ใจพลันเย็นวาบ
วันนี้ก็คงไม่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว
ขณะที่นางกำลังเตรียมจะกล่าวลานั้น ได้ยินเสียงฮ่องเต้เรียกนางเข้าเฝ้า จึงรีบหันไปบอกเซียงหลานว่า “เจ้ารีบช่วยข้าดูหน่อยว่าหน้าตาข้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง อาภรณ์เรียบร้อยดีหรือไม่”
เซียงหลานกวาดตาขึ้นลง ยิ้มอย่างดีใจว่า “เรียบร้อยดีเจ้าค่ะ เจ้านายรีบเข้าไปเถอะเจ้าค่ะ!”
ซูฉ่ายเวยถามขึ้นอีกว่า “แก้มข้ายังแดงอยู่หรือไม่”
“ยังมีรอยแดงเล็กน้อยเจ้าค่ะ หากฮ่องเต้ตรัสถามขึ้นมา เจ้านายก็ฟ้องฮ่องเต้เรื่องเสียนผินมารังแกได้”
เซียงหลานพูดขึ้นด้วยความโกรธ จนตอนนี้ใบหน้านางยังเจ็บอยู่เลย
ซูฉ่ายเวยพูดอย่างเจ็บแค้นว่า “เจ้าพูดถูก พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
“หม่อมฉันเข้าเฝ้าฝ่าบาท คารวะฝ่าบาท”
ซูฉ่ายเวยกราบสามครั้ง คำนับเก้าครั้งทำความเคารพอย่างสูงที่สุดของวังหลวง
เย่จิ่งอวี้กล่าวเสียงราบ “ลุกขึ้นเถอะ”
ซูฉ่ายเวยลุกขึ้น ทันใดก็เห็นอินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ข้างกายเย่จิ่งอวี้ เห็นเขามองมาทางตนแล้วยิ้มพยักหน้า หรือคือคนผู้นี้ที่ช่วยนางไว้
พลันรู้สึกว่าขันทีน้อยผู้นี้มีฝีมือไม่น้อย ต้องสร้างสัมพันธ์ไว้ให้ดี
อินชิงเสวียนแม้ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยนางแต่แรก แต่น้ำใจครานี้นางจำต้องรับไว้ จึงได้แสดงท่าทางเช่นนั้นออกไป พอเห็นท่าทีของซูฉ่ายเวยที่แสดงออกเช่นนั้น อินชิงเสวียนจึงรู้ว่าเข้าทางตนแล้ว หากสองวันนี้มีเวลาจะไปขายของให้นางสักหน่อย
ทั้งสองประสานสายตา ต่างมีความคิดของตน
เย่จิ่งอวี้ไม่ได้ตรัสสิ่งใดอีก ภายในห้องเงียบสงัด
ซูฉ่ายเวยยืนอยู่ตรงนั้นรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ จึงกระแอมขึ้นกล่าว “ช่วงนี้ฝ่าบาททรงงานหนักยิ่งนัก คงเหนื่อยไม่เบา ก่อนที่หม่อมฉันจะเข้าวังเคยฝึกนวดมาบ้าง ฝ่าบาทจะยินยอมให้หม่อมฉันนวดพระวรกายให้หรือไม่เพคะ”
เย่จิ่งอวี้ตอบอืม เป็นเชิงให้นางมานวดให้
ซูฉ่ายเวยได้ใจ รีบยัดผ้าเช็ดหน้าลงใต้แขนเสื้อ ย่างกายอรชรมาด้านหลังเย่จิ่งอวี้
นางในที่เข้าวังมาล้วนมีฝีมือติดตัวมาบ้าง ซูฉ่ายเวยไม่ได้มีเสียงร้องเพลงที่ไพเราะ มือเท้าก็ไม่ได้คล่องแคล่ว ดีดพิณเขียนพู่กันไม่ได้เรื่องสักอย่าง ตระกูลซูจึงหาทางอื่น เสาะหาหมอนวดมือดีมาสอนนาง ให้นางใช้เป็นเครื่องมือเอาใจฮ่องเต้ในภายหลัง
เพื่อจะได้เชิดหน้าชูตากับผู้อื่นบ้าง ซูฉ่ายเวยก็ตั้งใจฝึกฝนอย่างดี
พอเห็นว่าพระขนงของฮ่องเต้ค่อยๆ คลายออก ดวงตาหงส์ค่อยๆ หลับลง หลี่เต๋อฝูรีบโบกมือไปทา อินชิงเสวียนให้นางออกจากห้องไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...