จู่ๆ ดวงตาของเย่จิ่งอวี้พลันเบิกกว้าง นัยน์ตาฉายแววเยียบเย็น
“ออกไปเถอะ”
ซูฉ่ายเวยตกใจ พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท หม่อมฉัน...หม่อมฉันยังนวดไม่เสร็จเลยเพคะ”
ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้เปลี่ยนเป็นเย็นชา
“ถอยไป”
ครั้นเห็นใบหน้าหล่อเหลานั้นเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ทันใดนั้นซูฉ่ายเวยก็ไม่กล้าพูดคำใดอีก นางรีบสวมเสื้อ แล้วก้มหน้าก้มตาถอยกลับไป
เมื่อออกไปข้างนอกก็ปั้นหน้ายิ้มแสร้งทำเป็นมีความสุข
เชิดหน้าขึ้นแล้วกล่าวว่า “หลี่กงกง ข้าจะกลับแล้ว ไว้วันหน้าค่อยมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ใหม่”
เมื่อเห็นอาภรณ์ที่ไม่เรียบร้อยของซูฉ่ายเวย หลี่เต๋อฝูก็ก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว พูดด้วยความเคารพ “พระสนมเดินทางดีๆ”
ซูฉ่ายเวยตอบรับต้วยเสียงขึ้นจมูก วางมือบนแขนของเซียงหลาน แล้วเยื้องกรายออกจากห้องหนังสือไปอย่างเหิมใจ
หลังจากออกจากห้องหนังสือ ซูฉ่ายเวยก็กัดฟัน สีหน้าแดงก่ำ
นางเป็นฝ่ายเริ่มก่อนถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดฝ่าบาทถึงไม่ติดกับ ต้องเป็นเพราะชุดไม่สวย ถึงไม่สามารถดึงดูดความสนใจของฝ่าบาทได้
เมื่อกลับมาถึงหอฉงฮวา ซูฉ่ายเวยก็ถอดกระโปรงของนางออกทันที
ณ ห้องหนังสือ
แววตาของเย่จิ่งอวี้เย็นชา
เมื่อนึกถึงสตรีในวังหลังที่ต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจอยู่ตลอดเวลา ความรังเกียจในใจก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
ในปีนั้นเสด็จแม่เพียงแค่เตะกระถางดอกอวี้หลานเท่านั้น กลับต้องมาเสียชีวิตกะทันหัน
ในยามนั้น เย่จิ่งอวี้ไม่เข้าใจ มิหนำซ้ำยังคิดว่าเสด็จแม่ป่วยหนักจริงๆ บัดนี้พอมาคิดดูแล้ว คราวนั้นก็เพียงมีหยกกลับเป็นโทษ[footnoteRef:1]เท่านั้น [1: มีหยกกลับเป็นโทษ แต่เดิมกล่าวถึงชาวบ้านยากไร้ไม่มีเหตุผลใดที่จะมีของมีค่า(หยก)ไว้ครอบครองได้ เว้นแต่จะไปขโมยมา ต่อมาใช้เปรียบเทียบถึง ผู้มีความสามารถ แต่กลับมีผู้ริษยาในความสามารถนั้นจนเกิดเป็นภัยต่อตน ]
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ก็เริ่มเยือกเย็นลงหลายส่วน
นิ้วเรียวยาวค่อยๆ รวบเข้าหา และมีเสียงหักข้อดังตามมา
ครั้นหวนนึกถึงหลายครั้งที่ตนเองรอดพ้นจากความตายได้อย่างหวุดหวิด ความเกลียดชังในใจยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
จู่ๆ ภาพเมื่อตอนที่เขาอายุได้เจ็ดขวบพลันแวบขึ้นมา ในช่วงต้นฤดูคิมหันต์ เขาแอบออกจากวังพร้อมกับเสด็จอา แต่กลับมีคนวางแผนทำร้ายเขา เป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ผู้หนึ่งที่ลากเขาไปหลบยังวัดร้าง เขาอยากจะถามชื่อของเด็กหญิงตัวน้อยผู้นั้น ทว่าเด็กหญิงตัวน้อยกลับวิ่งหนีไป
เย่จิ่งอวี้คว้าคอเสื้อของเด็กหญิงทันควัน และได้เห็นปานแดงรูปผีเสื้อบนไหล่ของนาง...
เหตุผลที่เขายอมให้มีการคัดเลือกหญิงงามเข้าวังก็เพื่อตามหาคนผู้นี้
เด็กหญิงตัวเล็กๆ ในความทรงจำของเขาสวมกระโปรงผ้าปัก ซึ่งไม่น่าจะเป็นชุดกระโปรงที่คนธรรมดาพึงมี อย่างไรก็ตาม ในบรรดาหญิงงามเหล่านี้กลับไม่มีผู้ใดมีปานแดงที่ว่านี้เลย
เมื่อได้ทราบเช่นนั้น เย่จิ่งอวี้ก็หมดความสนใจกับบรรดาหญิงงามไปชั่วขณะ ถึงขั้นที่ไม่อยากจะมองดูด้วยซ้ำว่าพวกนางมีรูปโฉมเช่นไร...
“ฝ่าบาท ให้กระหม่อมเปลี่ยนน้ำแข็งหรือไม่”
เสียงของหลี่เต๋อฝูปลุกเย่จิ่งอวี้ให้ตื่นจากภวังค์
“ไม่ต้องแล้ว”
เย่จิ่งอวี้พูดเบาๆ แล้วเดินไปที่โต๊ะ
เมื่อเห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ดูไม่ดี หลี่เต๋อฝูก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
ตอนที่หลิงผินออกไป ท่าทางของนางดูร่าเริงอารมณ์ดีอยู่มิใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ ฮ่องเต้กลับดูไม่มีความสุขอีก
หลี่เต๋อฝูอยู่กับฮ่องเต้มานานกว่าสิบปี แต่กลับไม่สามารถคาดเดาความคิดของเขาได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องยืนอยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง
ในยามนี้เอง อินชิงเสวียนได้กลับมาถึงวังเย็นแล้ว
ไป๋เสวี่ยเดินตรงเข้าไปยังประตูสุนัขอย่างคุ้นเคย แต่พบว่าประตูมีอะไรบางอย่างขวางไว้ จึงหันกลับมาเห่า
อินชิงเสวียนหยิบกุญแจออกมา แล้วยิ้มให้เจ้าสุนัข
“ต่อไปนี้พวกเราจะเข้าทางประตูหลัก”
นางดึงไป่เสวี่ยไปที่ประตู ใช้กุญแจไขเปิดเปิดประตูวังเย็น จากนั้นลงกลอนประตูด้านใน แล้วจึงเข้าไปด้านในด้วยความโล่งอก
ยายหลี่กำลังอุ้มเจ้าหมาน้อยนอนอาบแดดอยู่ที่ประตู เมื่อเห็นอินชิงเสวียนก็รู้สึกประหลาดใจชั่วขณะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...