สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 62

ราวกับว่าเจ้าหมาน้อยกลัวว่าแม่จะจากไป เขายังคงจับคอเสื้อของนางไม่ปล่อย แล้วเริ่มพูดอ้อแอ้ไม่หยุด ขมวดคิ้วเล็กๆ จนเกือบจะผูกเป็นปม

ซึ่งท่วงท่าที่แสดงออกมานี้ช่างคล้ายคลึงกับเย่จิ่งอวี้มาก

“สมกับเป็นลูกชายของพ่อสารเลวเจ้าจริงๆ”

พอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้เย่จิ่งอวี้กับซูฉ่ายเวยเกิดอะไรที่ไม่สามารถอธิบายได้ อินชิงเสวียนก็อดเบะปากเสียมิได้ พลอยรู้สึกไม่ชอบหน้าเจ้าหมาน้อยไปด้วย

“เป็นเด็กดีรออยู่ตรงนี้ ห้ามร้องไห้งอแง ถ้าเจ้ากล้างอแง ข้าจะไม่สนใจเจ้าแล้ว”

พูดจบก็ยัดเจ้าหมาน้อยไว้ในอ้อมแขนของยายหลี่ เจ้าหมาน้อยตกตะลึง ลืมตาโพลงจ้องมองอินชิงเสวียนเข้าไปในห้อง

ผ่านไปหลายอึดใจ จึงยกมือเล็กๆ ขึ้นเพื่อประท้วง ในยามนี้เอง ไป๋เสวี่ยเห่าขึ้นครั้งหนึ่ง เจ้าหมาน้อยก็ถูกดึงดูดโดยเจ้าขนฟูทันที ชี้ไปที่ไป๋เสวี่ยแล้วพูดอ้อแอ้ๆ

ยายหลี่ยังคงกลัวไป๋เสวี่ยอยู่ อุ้มเจ้าหมาน้อยไม่กล้าเข้าใกล้ ตอนที่อยู่ในจวนรัชทายาท สุนัขตัวนี้ก็กัดคนไปไม่น้อยเลย

อินชิงเสวียนได้เข้าไปในมิติแล้ว สิ่งที่อยู่ข้างในนั้นเติบโตเต็มที่แล้ว อินชิงเสวียนใช้การเก็บเกี่ยวอัตโนมัติของมิติ ครั้นแล้วแป้งสาลีและข้าวสารก็ถูกจัดเก็บอย่างประณีตในเวลาอันสั้น

เมื่อมองดูธัญพืชเหล่านี้ อินชิงเสวียนก็นึกถึงหลิวเหล่าไท่ไท่ที่อยู่นอกวัง ไม่รู้ว่านางได้ช่วยตัวเองขายของหรือไม่ หากนางเชื่อถือไม่ได้ ต่อไปก็อย่าหวังว่าจะได้รับเมล็ดข้าวจากตนอีก

หลังจากปลูกเมล็ดพันธุ์ชุดใหม่แล้ว อินชิงเสวียนก็ไปที่ร้านคะแนนเพื่อแลกนมผงจำนวนยี่สิบถุงให้กับเจ้าหมาน้อย รวมถึงรถเข็นหัดเดินที่ทำจากไม้สำหรับเด็กและเล่นตุ๊กตาต่างๆ

เมื่อมีของเล่นเหล่านี้ยายหลี่จะได้รู้สึกสบายขึ้นบ้าง อากศร้อนๆ เช่นนี้ยังต้องอุ้มคนเดินไปเดินมาก็ลำบากพอดู เพียงแต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าหมาน้อยจะยืนได้หรือยัง ถึงอย่างไรก็ไม่แพงมาก ถ้ายังใช้ไม่ได้ก็เก็บไว้ก่อนก็ได้

หลังจากหยิบข้าว ผลไม้ และผักออกมาแล้ว อินชิงเสวียนก็เอาน้ำพุวิญญาณมาด้วย เก็บไว้สำหรับชงนมผงและสำหรับอาบน้ำให้เจ้าหมาน้อย

เมื่อบังเอิญเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าดูเหมือนจะมีบรรทัดพิเศษบนป้ายถัดจากร้านค้าคะแนน ซึ่งระยะทางนั้นไกลเกินไป อินชิงเสวียนจึงมองเห็นได้ไม่ชัดเจน นางมองเห็นได้เพียงคำว่าน้ำพุวิญญาณรางๆ เท่านั้น

เพื่อไม่ให้อวิ๋นฉ่ายและยายหลี่พบว่าตัวเองหายไปกลางอากาศ อินชิงเสวียนจึงไม่ได้ไปตรวจสอบ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว

แม้ว่าหลี่เต๋อฝูจะให้เวลานางกลับไปภายในครึ่งชั่วยาม แต่อินชิงเสวียนก็ไม่รีบร้อน เพราะฮ่องเต้กับซูฉ่ายเวยจะทำอะไรกันนั้นจะใช้เวลาประเดี๋ยวประด๋าวเพียงชั่วครู่ได้อย่างไร ถึงกลับไปเร็วก็ต้องไปยืนเฝ้ายืนฟังอยู่ที่หน้าประตูเหมือนเดิม

ทุด! นางกลัวหูจะเป็นหูดเอา

หลังจากกินแตงโมและหลานเหมยจนอิ่มพี อินชิงเสวียนก็พาไป๋เสวี่ยออกจากวังเย็น

เจ้าหมาน้อยดื่มนมหลับไปแล้ว อินชิงเสวียนจึงจากไปอย่างราบรื่น เมื่อนางปิดประตูก็เหลือบไปเห็นอวิ๋นฉ่ายและยายหลี่ยืนจ้องตัวเองอยู่ที่กลางลานเรือน ในจจึงรู้สึกเศร้าเล็กน้อย

นางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ รีบลงกลอนประตูแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อมาถึงประตูหอฉงฮวา ได้ยินซูฉ่ายเวยพูดอย่างไม่พอใจ “ผ้าแพรพวกนี้สีหมองดูแก่เกินไป ไปแจ้งขันทีฝ่ายในว่าข้าไม่ชอบ ให้พวกเขานำผ้าผืนใหม่มาเปลี่ยนให้ข้า”

จิ๊ๆ กลับมาเร็วถึงเพียงนี้เลยหรือ

ถ้าไม่ใช่เพราะไม่สำเร็จ ก็เป็นเพราะเย่จิ่งอวี้ไม่สันทัดเรื่องพรรค์นั้น

เมื่อคิดถึงตรงนี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง

เดินไปที่ประตูแล้วพูดเสียงดัง “บ่าวเสี่ยวเสวียนจื่อน้อมคำนับหลิงผิน”

ซูฉ่ายเวยที่ยืนจุกจิกจู้จี้อยู่กลางลานเรือน เมื่อนางได้ยินชื่อเสี่ยวเสวียนจื่อ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที

ยิ้มและพูดว่า “กงกงน้อยรีบเข้ามา ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าพอดี”

“ขอบคุณพระสนมหลิงผิน”

อินชิงเสวียนเดินนำไป๋เสวี่ยเข้าไปในตำหนัก เมื่อขันทีทั้งหลายเห็นไป๋เสวี่ย พวกเขาก็ตกใจกลัวและผงะถอยออกไป สุนัขตัวใหญ่ตัวนี้ดวงตาเย็นชาดูดุร้ายยิ่งนัก

อินชิงเสวียนตบศีรษะไป่เสวี่ย แล้วพูดกล่อมเหมือนมันเป็นเด็ก “เด็กดี รอข้าอยู่ที่นี่สักประเดี๋ยว ข้าจะไปคุยกับพระสนมสักครู่”

ไป๋เสวี่ยเดินไปหาที่ร่มและนอนลงทันที ซูฉ่ายเวยพึมพำในใจ มิน่าเล่าฮ่องเต้ถึงได้โปรดปรานขันทีน้อยผู้นี้มาก แม้แต่สุนัขดื้อด้านก็ยังเชื่อฟังเพียงนี้ ขันทีน้อยนั่นไม่ธรรมดาจริงๆ

นางยิ้มประจบขณะเดินนำอินชิงเสวียนเข้าไปในห้องโถงด้านใน สั่งให้เซียงหลานนำน้ำบ๊วยแช่เย็นมาให้อินชิงเสวียนหนึ่งชาม

อินชิงเสวียนกินแตงโมและหลานเหมยจนอิ่มมากแล้ว แต่นางก็ยังดื่มไปอีกสองอึก เพื่อเป็นการไว้หน้าให้ซูฉ่ายเวย

ซูฉ่ายเวยทนรอไม่ไหวอีกแล้ว

“ได้ยินมาว่ากงกงน้อยได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นขันทีส่วนพระองค์ของฝ่าบาท ไม่ทราบว่าเจ้าจะเปิดเผยความชอบของฝ่าบาทให้ข้าได้หรือไม่ ข้าจะได้ใช้ยาให้ถูกกับโรค เพื่อได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทโดยเร็ว หากสำเร็จ จะไม่มีวันลืมความดีความชอบของกงกงน้อยแน่นอน”

โอ้

ความสัมพันธ์ล้มเหลวงั้นหรือ

“บ่าวเห็นว่าพระสนมได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทมาก หรือว่าเมื่อครู่…”

อินชิงเสวียนจงใจพูดเพียงครึ่งหนึ่ง

ซูฉ่ายเวยนั่งบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าลำบากใจ

“เดิมทีทุกอย่างก็เรียบร้อยดีอยู่หรอก แต่จู่ๆ ฝ่าบาทก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ แล้วไล่ข้ากลับมานี่แหละ”

เมื่อได้ยินดังนี้ อินชิงเสวียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“เอ่อ...พระสนมอย่าเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ บางทีฝ่าบาทอาจนึกถึงบางสิ่งที่สำคัญ หรือไม่ก็คงเพราะทรงพักผ่อนไม่เพียงพอ”

“หรือเป็นเพราะชุดที่ข้าใส่ไปดูไม่ดี ไม่เข้าตาฝ่าบาท ต้องโทษขันทีฝ่ายในที่ส่งชุดสีสันเชยๆ มาให้ข้า”

ยิ่งซูฉ่ายเวยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าใด นางก็ยิ่งโกรธ เพราะเสียโอกาสดีๆ ไป

อินชิงเสวียนกลอกตาแล้วพูดว่า “บ่าวคิดว่านี่อาจไม่ใช่สิ่งที่ฝ่าบาทสนพระทัย อาจเป็นเพราะพระสนมสีหน้าดูไม่ดี พลอยทำให้ฝ่าบาทอารมณ์ไม่ดีไปด้วย”

ซูฉ่ายเวยพลันนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเพิ่งโดนตบหน้ามา หรือว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้

อินชิงเสวียนล้วงแผ่นพอกหน้าออกมาจากอกเสื้อ

“เมื่อสองวันก่อนบ่าวออกจากวัง ได้นำของสิ่งนี้จากข้างนอกมาด้วย ของสิ่งนี้สามารถทำให้ผิวพรรณของพระสนมอ่อนโยนราวกับหยก ฟื้นฟูผิวได้ หากพระสนมชอบก็ลองดูได้ เพียงแต่ราคาไม่ถูกนัก แผ่นหนึ่งราคาไม่ต่ำกว่าสามร้อยตำลึง”

เมื่อมองดูถุงบรรจุภัณฑ์พลาสติก ซูฉ่ายเวยไม่เพียงแต่แปลกใจ ซ้ำยังรู้สึกว่าราคาแพงอีกด้วย

อินชิงเสวียนก็อยากจะเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เช่นกัน แต่ในนั้นมีสารบำรุงที่สำคัญอยู่มาก ซึ่งหากเอาออกมาจะแห้งเร็ว หากแผ่นพอกหน้าที่ปราศจากสารบำรุงที่สำคัญก็จะไม่เห็นน็น็น ผล

“สิ่งนี้มหัศจรรย์อย่างที่กงกงน้อยกล่าวจริงหรือ”

“หากพระสนมไม่เชื่อ บ่าวนำมาให้พระสนมทดลองดูก่อนก็ได้ แผ่นนี้ถือว่าแถมให้”

เมื่อได้ยินคำว่าทดลองใช้โดยไม่เสียเงิน ซูฉ่ายเวยย่อมไม่ปล่อยให้เสียเปล่าแน่นอน ครั้นจึงปฏิบัติตามที่อินชิงเสวียนบอกนอนลงบนเก้าอี้ทันที

อินชิงเสวียนเช็ดใบหน้าของนางด้วยแผ่นฟองน้ำที่แลกมา แล้วนำแผ่นพอกหน้าออกมาแปะบนใบหน้าของนาง

ความเย็นที่มาปะทะใบหน้า ทำให้รู้สึกสดชื่นมาก

อินชิงเสวียนเทสารบำรุงที่สำคัญใส่มือของซูฉ่ายเวย และให้นางลูบหลังมือและลำคอของนาง

สารบำรุงที่สำคัญมีความนุ่มลื่นมากและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ซูฉ่ายเวยชอบมาก หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ อินชิงเสวียนก็ช่วยซูฉ่ายเวยนำแผ่นพอกหน้าออก

“พระสนมไปส่องคันฉ่องดูได้พ่ะย่ะค่ะ”

ซูฉ่ายเวยเปิดกระจกเล็กของตลับแป้งรองพื้นอย่างไม่ศรัทธานัก แต่แล้วก็เห็นว่าผิวพรรณเนียนนุ่มปานไข่ปอก ใบหน้าที่แดงเล็กน้อยก่อนหน้านี้ก็ขาวขึ้นทันตา พูดด้วยความตื่นเต้น “ของสิ่งนี้ดีจริงๆ ข้า ต้องการทั้งหมดเลย”

ทันทีที่พูดจบ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้านอกประตู และมีคนพูดด้วยรอยยิ้ม “พระสนมหลิงผินได้ของดีอะไรมาอีก ให้พวกเราดูด้วยสิ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์