“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่นะ ตอบมาเร็ว”
ผีแคระถามเสียงแข็งกระด้างขึ้นมาอีก
ลู่ทงยังไม่อยากตาย เขายังอยากเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท เขากลอกตาแล้วพูดว่า “บางทีนางสนมในวังอาจจะแยกแยะได้ง่ายๆ ถ้าพวกเจ้าปลอมตัวเป็นนางกำนัลหรือขันที อาจจะเข้าไปได้”
ผีแคระคนหนึ่งด่าทอ “ป้ายตราคำสั่งถูกยึดคืนไปหมดแล้ว เจ้าพูดไร้สาระจะมีประโยชน์อะไร”
คนตัวเตี้ยที่ศีรษะล้านเลี่ยนพูดด้วยสำเนียงต้าโจวทื่อๆ “ไม่ต้องพูดไร้สาระกับตาแก่บ้านี่แล้ว ควักหัวใจเขาออกมา ยังสามารถเสริมพลังได้”
ลู่ทงพูดขึ้นโดยเร็ว “อย่า อย่า อย่า อย่า ข้าแก่แล้ว หัวใจของข้าไม่อร่อยหรอก เจ้ากินของพวกเขาดีกว่า”
ใต้เท้าอีกคนเขาหวาดกลัวเจ้าคนหน้าขาวซีดเหล่านี้จนหมดสติไปแล้ว ตอนนี้กำลังนั่งหน้าม่อยคอตกพิงเสาอยู่
ชายร่างเตี้ยที่มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากหัวเราะเหี้ยมเกรียม
“เจ้าพูดถูกต้อง หัวใจของคนแก่ไม่อร่อยนักหรอก หัวใจของคนหนุ่มสาวบำรุงได้ดีกว่าอีก แต่การได้กินของพวกเจ้า ก็ช่วยให้ข้าฟื้นกำลังได้บ้าง”
หลังจากที่เขาพูดจบก็ย่างสามขุมเข้าไปหาลู่ทง ยื่นมือไปยังทรวงอก ล้วงเข้าไปอย่างแรง แล้วควักหัวใจออกมา
ลู่ทงไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้อง เขาตายไปทั้งอย่างนั้น
บางทีคนอื่นๆ อาจรู้สึกพะอืดพะอม ทั้งหมดจึงออกไปข้างนอก
ในบรรดาคนเหล่านี้ มีเพียงคนนี้ที่ชื่ออะบิโกะชินจิเท่านั้นที่ฝึกฝนวิชาชั่วร้ายนี้ ด้วยการกินหัวใจมนุษย์เพื่อเสริมกำลังกาย เขากัดกินอาหารมื้อใหญ่ จากนั้นจึงหันไปหาใต้เท้าอีกคน...
ในเวลานี้ ท้องฟ้ามืดแล้ว แสงสุดท้ายหายไปจนสุดขอบฟ้า เหล่าพ่อค้าแม่ค้าต่างทยอยปิดแผงขายของกลับบ้าน
ถนนสายยาวที่คึกคัก ก็ถูกทิ้งร้างให้เปลี่ยวลง
ชายชราคนหนึ่งกำลังออกไปเดินเล่นข้างนอกพร้อมกับหญิงสาวหน้าตาสะสวย หญิงสาวคนนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้นุ่มๆ ท่าทางสบายอารมณ์
ถัดไปก็คือชายร่างสูงกำยำหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่ง สายตาของบุรุษผู้นั้นกวาดมองทิวทัศน์โดยรอบด้วยสีหน้าเย็นชา
สามคนนี้คือ อินจ้ง จูอวี้เหยียน และอินสิงอวิ๋น
ตอนนี้จูอวี้เหยียนแทบจะกลายเป็นคนพิการแล้ว มือและเท้ากลายเป็นอัมพาตไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ อินจ้งจึงเป็นคนเข็นนางออกมาดูนั่นดูนี่
อินจ้งยังมีความรู้สึกติดค้างลูกสาวคนนี้อยู่ เขาจึงตามใจนาง อีกอย่างเขาก็อยากให้ลูกชายเห็นทิวทัศน์ภายนอก หวังว่าเขาจะจำเรื่องราวในอดีตได้โดยเร็วที่สุด
เป็นครอบครัวเดียวกันแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับเกิดเรื่องลุกลามมาถึงขนาดนี้ อินจ้งจึงรู้สึกไม่สบายใจ
หากเขาเจอจูอวี้เหยียนเร็วกว่านี้ นางคงไม่เป็นเช่นนี้
เวลาหนอโชคชะตาหนอ!
ฝ่าบาทยอมไว้ชีวิตนาง ก็นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว
ถึงอย่างไรตระกูลอินก็ไม่ขาดข้าวสารอาหาร ได้เลี้ยงดูกันไปก็ถูกต้องแล้ว
จูอวี้เหยียนกลับไม่คิดเช่นนั้น นางไม่รู้สึกขอบคุณแม้แต่น้อย ความคิดเดียวที่มีคือ ในเมื่ออินจ้งรับนางกลับมา นางจะทรมานตาแก่นี่จนตาย
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานางให้ซ่อมแซมตรงนั้นตรงนี้ ทำให้ตระกูลอินไม่ได้อยู่อย่างสงบ โชคดีที่ซูหมิงหลานกับอินปู้อวี่และจื่อลั่วต่างก็เป็นคนดี เมื่อเห็นว่านางร่างกายพิการ จึงยอมปล่อยให้นางทรมานตามอำเภอใจ ทุกวันยังต้องทำอาหารอร่อยๆ ไม่ซ้ำกันให้นางด้วย
ซึ่งนี้กลับยิ่งทำให้จูอวี้เหยียนรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น นางอยากเห็นพวกเขาโกรธ เห็นพวกเขาทะเลาะกันเพราะตัวเอง ครอบครัวแตกแยก แต่ผลสุดท้ายกลับทำให้นางผิดหวัง ดังนั้นหลังอาหารเย็นวันนี้ นางจึงหันมาทรมานอินจ้งอีก
อินสิงอวิ๋นตามมาเงียบๆ เขารู้ความคิดของอินจ้ง และยอมรับญาติเหล่านี้ได้ ทว่าความทรงจำที่หายไปก็ทำให้อุปนิสัยของเขาเปลี่ยนไปอยู่บ้าง เขาเคารพอินจ้งและซูหมิงหลานค่อนไปทางสุภาพเสียด้วยซ้ำ เมื่อคิดถึงลูกชายผู้อ่อนโยนและสง่างามในอดีต อินจ้งก็อดปวดใจเสียมิได้
“สิงอวิ๋น เจ้าพอจะจำที่นี่ได้หรือไม่ ตอนเด็กๆ เจ้ากับน้องรองมักมาวิ่งเล่นบนถนนสายนี้บ่อยๆ”
อินจ้งมองลูกชายด้วยรอยยิ้ม ขอเพียงอินสิงอวิ๋นเต็มใจที่จะอยู่ข้างกายเขา อินจ้งเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วเขาจะจำได้
อินสิงอวิ๋นส่ายศีรษะ
“จำไม่ได้ขอรับ”
อินจ้งยิ้ม แล้วพูดด้วยความรักเมตตา “ไม่เป็นไร พวกเราค่อยเป็นค่อยไป”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...