“ไม่เป็นไร แม่รองจะพยายามดูแลอย่างดีที่สุด เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องที่บ้าน”
ซูหมิงหลานจับมืออินชิงเสวียน พูดเสียงอ่อนโยน ดวงตาเต็มไปด้วยความรักอันอบอุ่น
ยิ่งนางมีเหตุผลมากเท่าไหร่ อินชิงเสวียนยิ่งรู้สึกว่าอินจ้งผิดต่อกับสตรีคนนี้มากขึ้นเท่านั้น
“ในเมื่อนางเป็นลูกสาวของท่านพ่อ ก็ปล่อยให้เขาจัดการเอง ท่านแม่รองก็ไม่ต้องกังวล ถ้ารู้สึกว่าอยู่ในบ้านเบื่อๆ ข้าจะหาธุรกิจให้ท่านแม่รอง ไม่ทราบว่าท่านแม่รองเต็มใจหรือไม่”
ดวงตาของซูหมิงหลานเป็นประกาย
“ธุรกิจ?”
นางได้เรียนรู้วิธีการทำธุรกิจจากตระกูลซูตั้งแต่ตอนอายุไม่กี่สิบปี ตอนนี้ลืมไปหมดแล้ว แต่ยังคงมีแสงสว่างริบหรี่อยู่ในใจ
ถ้าออกไปได้ ย่อมดีกว่าอุดอู้อยู่ในบ้านแน่นอน
“เป็นธุรกิจอะไรหรือ...ข้าจะทำได้หรือไม่”
อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านแม่รองเก่งเรื่องการเย็บปักถักร้อย ต้องทำได้แน่ ข้ามีผ้าลายปักมากมายที่ไม่เคยมีมาก่อนในต้าโจว เป็นลวดลายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ท่านแม่รองไม่ต้องปักอะไร แค่หาคนมาตัดตามแบบก็พอ และไม่จำเป็นต้องแสดงตัว จ้างผู้ดูแลร้านที่ไว้ใจได้ แล้วท่านก็เข้าไปดูเป็นครั้งคราว”
ซูหมิงหลานพยักหน้าโดยพลัน
“เรื่องทำงานข้าไม่มีปัญหา ช่วงนี้ข้าก็ปักเย็บงานปักสองด้านไว้เยอะ พอดีจะได้นำออกไปขายด้วย แม้ว่าครอบครัวเราจะไม่ได้ขาดเงิน แต่มีเงินมาก ก็รู้สึกสบายใจกว่า”
“จริงเจ้าค่ะ”
ความคิดของซูหมิงหลานใกล้เคียงกับอินชิงเสวียน ไม่ว่าในยุคสมัยใด ก็ไม่เคยเห็นคนบ่นเรื่องที่มีเงินมากเกินไป
อินชิงเสวียนหยิบตั๋วเงินที่เพิ่งรวบรวมออกมา
“ถ้าท่านแม่รองมีเวลาว่าง สองวันนี้ก็ลองไปเลือกหาร้านดู พรุ่งนี้ข้าจะส่งผ้ามานะเจ้าคะ”
ซูหมิงหลานจับมือของอินชิงเสวียนทันที
“ครั้งที่แล้วที่เจ้าให้ไว้ยังเหลืออยู่เลย ซื้อหลายสิบร้านได้สบาย เงินพวกนี้เจ้าเก็บเงินไว้ใช้เองนะ”
ก่อนหน้านี้อินชิงเสวียนเคยให้ตระกูลอินไว้ใช้หนึ่งหมื่นตำลึง ซูหมิงหลานก็ประหยัดมาก นอกจากนี้ จวนแห่งนี้ยังได้รับจากฝ่าบาท แถมอินชิงเสวียนยังจัดหาข้าวและแป้งหมี่ไว้ให้ ดังนั้นจึงไม่มีค่าใช้จ่ายเลย
เมื่อเห็นซูหมิงหลานพูดเช่นนี้ อินชิงเสวียนก็รับกลับมา
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ถ้าท่านแม่รองพอมีเวลา ช่วยข้าซื้อร้านเพิ่มอีกหนึ่งร้าน ข้ายังมีของกระจุกกระจิกที่อยากจะนำออกมาขาย เป็นของของข้าเอง ไม่ใช่ของจากวังหลวง ท่านแม่รองไม่ต้องกังวล”
ซูหมิงหลานตอบรับทันที
“ได้ พรุ่งนี้ข้าจะพาจื่อลั่วออกไปเดินดู”
ขณะที่พูดก็มีเสียงมาจากข้างนอก จูอวี้เหยียนก็ถูกคนรับใช้ยกกลับมาแล้ว
“ส่งคุณหนูกลับเรือนหลังเถอะ”
อินจ้งพูดขึ้น แล้วเดินมายังห้องโถงใหญ่
เมื่อเห็นรถม้าของอินชิงเสวียนยังจอดอยู่ที่ประตู จูอวี้เหยียนก็รู้ว่านางยังไม่ได้กลับ พูดกระแหนะกระแหน “ท่านพ่อหมายความว่าอะไร หรือเป็นเพราะเอ็นมือเอ็นร้อยหวายของข้าถูกตัดขาด จึงพบปะผู้คนไม่ได้?”
อินจ้งพูดอย่างช่วยไม่ได้ “พ่อไม่ได้หมายความอย่างนั้น เจ้าออกไปข้างนอกมาสักพักแล้ว คิดว่าเจ้าคงเหนื่อย พ่อคิดว่าเจ้าต้องการพักผ่อน”
จูอวี้เหยียนพูดด้วยความโกรธ “ข้าที่เป็นคนพิการทำไมต้องเหนื่อย กุ้ยเฟยมาแล้ว ถ้าข้าไม่ไปพบหน้าหน่อย จะไม่เสียมารยาทแย่หรือ”
อินชิงเสวียนเดินออกจากห้อง แล้วพูดด้วยใบหน้าเย็นชา “จูอวี้เหยียน อย่าคิดว่าทั้งโลกติดค้างเจ้า เจ้าควรขอบคุณตระกูลอินที่รับเจ้าไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านพ่อขอร้องฝ่าบาท เจ้าคงไปพบยมบาลแล้ว ถ้าเจ้ายังไม่พอใจ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเจ้า”
จูอวี้เหยียนยิ้มเยาะ แล้วพูดว่า “ทำไม อยากตีข้าอีกรึ”
มุมปากของอินชิงเสวียนยกขึ้นเล็กน้อย ทว่าไร้ซึ่งความอบอุ่นโดยสิ้นเชิง
“อย่าว่าแต่ตีเจ้าเลย ถ้าข้าอยากทำจริงๆ ข้าสามารถขยี้เจ้าให้ตายเหมือนมดปลวกได้ทุกเมื่อ”
จูอวี้เหยียนตะโกนทันที “ท่านพ่อ ท่านบอกว่าจะดูแลข้าอย่างดีไม่ใช่หรือ นี่คือวิธีที่ท่านดูแลข้างั้นหรือ ปล่อยให้คนอื่นมาข่มขู่และดูถูกข้าเช่นนี้?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...