หัวหน้าเหลียงรูปร่างไม่สูง ขนาดตัวผอมบางเล็กน้อย จึงถูกเย่จิ่งอวี้หิ้วตัวขึ้นมา
เมื่อรู้สึกถึงบรรยากาศหนาวเย็นที่แผ่นหลัง หัวหน้าเหลียงก็มีเหงื่อผุดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ฝ่าบาทโปรดอภัย กระหม่อมได้ให้สาวใช้ล้างบาดแผลให้กุ้ยเฟยเรียบร้อยแล้ว เหนียงเหนียงไม่เป็นอันตรายมากนัก เพียงแต่เสียเลือดเล็กน้อย ต้องการเพิ่มการบำรุงให้ดีพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้สั่งให้คนไปนำโสมพันปีมาต้นหนึ่งแล้ว เพื่อใส่ยาให้แก่กุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้จึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เขาปล่อยหัวหน้าเหลียงลง และพูดเสียงเข้มว่า “ต้องการตัวยาชนิดใด เจ้าหยิบใช้ได้ตามสมควร อย่าให้เหนียงเหนียงมีโรคแทรกซ้อนโดยเด็ดขาด”
หัวหน้าเหลียงรีบพูดว่า “กระหม่อมทราบพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอรับรองว่าใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ร่างกายของเหนียงเหนียงจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม”
เย่จิ่งอวี้ไม่อยากเสียเวลาพูดมากกับเขา จึงสาวเท้าเดินไปด้านหน้าเตียง
สีหน้าของอินชิงเสวียนซีขาวเล็กน้อย แต่ไม่ได้ย่ำแย่เหมือนอย่างที่เย่จิ่งอวี้จินตนาการเอาไว้ ดวงตาคู่หนึ่งยังคงลืมอยู่ และมีชีวิตชีวาอย่างมาก
“อาอวี้ ท่านมาแล้วหรือเพคะ?”
อินชิงเสวียนหันหน้ามา มุมปากแขวนรอยยิ้มจางๆ เอาไว้
นางไม่อยากให้เย่จิ่งอวี้เป็นห่วงตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนัก เพียงแค่ได้รับความบาดเจ็บภายนอกเท่านั้น
เย่จิ่งอวี้จับมือน้อยที่ร้อนผ่าวเอาไว้
“ข้ามาแล้ว เสวียนเอ๋อร์คิดอย่างไรถึงได้ออกนอกวัง?”
“ข้าเพียงอยากไปเยี่ยมหวังซุ่นเท่านั้น ไม่คิดว่าจะได้เจอกับอาซือหลาน เดิมทีคิดจะจับตัวเขาไว้ เพื่อรอให้เจวี๋ยอิ่งและไป๋เสวี่ยเข้ามา ดูเหมือนว่าจะคิดง่ายดายมากเกินไป ไม่เพียงแต่หม่อมฉันที่ได้รบบาดเจ็บ ฝูอี้อ๋องก็ถูกเขาจับตัวไปด้วย”
เมื่อได้ยินที่อินชิงเสวียนพูด เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้วในทันที
“เย่จิ่งหลานถูกจับตัวไปงั้นหรือ?”
อินชิงเสวียนพยักหน้า
“เพราะข้าทำให้เขาต้องพลอยลำบากไปด้วย หากไม่ใช่เพราะได้ยินว่าข้าบาดเจ็บ เขาก็คงไม่ออกมา”
อินชิงเสวียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เพียงแต่นำเรื่องที่เย่จิ่งหลานซ่อนในมิติ แก้เป็นซ่อนอยู่ในห้อง
“เสวียนเอ๋อร์ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องอื่น ข้าจะส่ังให้ปิดเมืองหลวงเดี๋ยวนี้ ผู้ใดก็ตามที่ไม่ได้รับคำสั่งจากกรมพระคลัง จะไม่สามารถออกนอกเมืองหลวงได้”
สำหรับน้องชายคนนี้ เย่จิ่งอวี้ไม่ได้สนิทสนมมากนัก แต่ว่าเย่จิ่งหลานเคยช่วยตัวเองเอาไว้ อีกทั้งอันไท่ผินก็ไม่ได้ทำอะไรผิดมากมาย ไม่ว่าด้วยความรู้สึกหรือเหตุผล ต่างก็ต้องช่วยเขาออกมา
อินชิงเสวียนพยักหน้า แต่ในใจไม่ได้เป็นห่วงความปลอดภัยของเย่จิ่งหลานมากนัก
เขาก็เป็นคนที่มีมิติ ทันทีที่เข้าไปแล้วก็จะไม่มีผู้ใดหาเขาพบ แต่มิติของทั้งสองก็มีขีดจำกัดอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือเข้าไปจากที่ใด ก็ต้องออกมาจากที่นั่น ดังนั้น หากต้องการช่วยเย่จิ่งหลานออกมาให้ได้ สุดท้ายก็ต้องหาที่อยู่ของอาซือหลานให้พบก่อน
“วันนี้ข้าได้ต่อสู้กับอาซือหลาน ข้าได้กลิ่นเครื่องหอมที่รุนแรงบนตัวของเขา คิดว่าเขาคงรู้ว่ามีสุนัขสะกดรอยตามเขาอยู่ พรุ่งนี้ฝ่าบาทก็จะปล่อยตัวฟางรั่ว ค่อยให้ลูกน้องไปแอบอยู่ที่โรงเตี๊ยมจวี้เสียน ไม่แน่ว่าอาจจับตัวเขาได้”
เย่จิ่งอวี้อยากถามอินชิงเสวียนมากว่า เหตุใดจึงรู้ว่าอาซือหลานจะไปที่โรงเตี๊ยมจวี้เสียน แต่กลัวว่านางจะพูดเยอะเกินไปและทำให้ปากแผลขยับ จึงกลืนคำพูดกลับไป
“ข้ารู้แล้ว”
เขาหันไปทางหมอหลวงเหลียง
“สามารถนำตัวเสวียนเอ๋อร์ยกกลับไปรักษาตัวที่ตำหนักจินหวูได้หรือไม่?”
หัวหน้าเหลียงรีบพยักหน้าพูดว่า “ได้พ่ะย่ะค่ะ ตราบใดที่ไม่มีการขยับเขยื้อนที่มากจนเกินไป ไม่ดึงโดนปากแผลก็ไม่มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้จึงเรียกองครักษ์หลายคนเข้ามาในทันที
“ไปหาผ้าห่มหนาๆ มาสองผืน และยกรถม้าพระที่นั่งมังกรของข้าเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นไม่นาน มีคนหนึ่งยกผ้าห่มขนอ่อนเดินเข้ามา และพูดด้วยความเคารพว่า “ฝ่าบาท รถม้าพระที่นั่งมังกรมาถึงหน้าประตูแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้อุ้มอินชิงเสวียนขึ้นด้วยความระวังในทันที จากนั้นก็นำผ้าห่มขนหนานุ่มห่อหุ้มร่างหายของนางเอาไว้
“เจ็บหรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนตำหนิตัวเอง เย่จิ่งอวี้ก็ไม่อาจทนได้ เขาดึงมือน้อยที่นุ่มนวลเอาไว้แล้วพูดว่า “เรื่องนี้โทษเจ้าไม่ได้หรอก ข้าเข้าใจความรู้สึกในตอนนั้นของเจ้า เป็นเพราะอาซือหลานเจ้าเล่ห์มากเกินไป หากไม่จัดการคนคนนี้ให้สิ้นซาก สักวันอาจเกิดภัยใหญ่ขึ้นมาได้”
“เพคะ ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่หลังจากที่ข้าได้กลิ่นเครื่องหอมจำนวนมากบนตัวของเขา ข้าก็รู้อย่างแน่นอนว่าไป๋เสวี่ยจะได้รับผลกระทบ ตอนนี้คงต้องดูว่าฟางรั่วมีความสามารถพอที่จะตามหาเขาพบหรือไม่”
เมื่อพูดถึงตอนนี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
แม้ว่าเมืองหลวงจะมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่หากเปรียบเทียบกับปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกว่างโจวในปัจจุบัน ก็ยังคงมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ด้วยสถานที่เช่นนี้ การซ่อนตัวหลายคนก็ไม่ใช่เรื่องยาก อาซือหลานทำได้อย่างไรกัน?
จู่ๆ เขาก็นึกถึงทางลับใต้เรือนจุ้ยหง หรือว่าเขาใช้วิธีการเดิมซ้ำอีกครั้ง และขุดทางลับที่ไหนสักแห่ง?
อินชิงเสวียนนำเรื่องที่ตัวเองคาดเดาบอกกับเย่จิ่งอวี้
“อาจมีความเป็นไปได้ ข้าจะสืบค้นเรื่องนี้อีกครั้ง วันพรุ่งนี้เช้า ข้าจะปล่อยฟางรั่วออกจากวัง”
“เพคะ ข้าเริ่มง่วงแล้ว อยากนอนอีกสักหน่อย”
อินชิงเสวียนหาว
เย่จิ่งอวี้ยื่นมือออกมากางมุ้ง และนอนตะแคงอยู่ด้านข้าง
พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “นอนเถอะ ข้าจะรออยู่ข้างๆ เจ้า”
อินชิงเสวียนตอบรับและพิงไหล่ของเย่จิ่งอวี้
ด้านนอกหน้าต่างยังมีหิมะตกอยู่ ลมพายุยามค่ำคืนรุนแรงมากกว่าตอนกลางวันค่อนข้างมาก
เย่จิ่งหลานถูกกรอกหิมะจนเต็มปาก ก็ถูกโยนลงบนพื้น
อาซือหลานสวมผ้าคลุมสีดำบนศีรษะของเขา แต่ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด
ตอนนี้เขาสามารถเข้าไปในมิติได้เช่นกัน แต่เมื่อคิดว่าอินชิงเสวียนตั้งใจจะจับอาซือหลาน จึงนำความคิดนี้กลับไปคืน
เห็นแก่เหล้าเหมาไถขวดนั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่มีอันตราย เขาจะพยายามรับมือกับอาซือหลานให้ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...