สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 624

“ข้าไม่เป็นไร”

อินชิงเสวียนถูนวดขมับ

น้ำพุวิญญาณสามารถรักษาอาการเมาค้างได้ แต่นางไม่อยากหายเมาค้าง

อาการเวียนศีรษะทำให้นางลืมหลายสิ่งหลายอย่าง

ซึ่งนี่ก็เป็นการหลีกหนีปัญหาด้วย มิน่าเล่าคนมากมายที่มีปัญหาทุกข์ใจถึงยอมดื่มสุราจนเมามาย

เย่จิ่งหลานรู้สึกจนปัญญา

“ถ้าอารมณ์ไม่ดีก็ร้องไห้ออกมา จะทำให้รู้สึกดีขึ้น ต่อให้เข้มแข็งแค่ไหน ก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง เพราะเป็นมนุษย์ ย่อมมีตอนที่รู้สึกพังทลาย ไม่น่าอายหรอก”

อินชิงเสวียนยิ้มอย่างเมามาย

“ถ้าการร้องไห้มีประโยชน์ ข้าคงร้องไห้ไปนานแล้ว เพราะข้ารู้ดีว่าปัญหาแก้ไขไม่ได้ จึงไม่หลั่งน้ำตาร้องไห้ง่ายๆ”

เย่จิ่งหลานยกนิ้วให้

“ใช้ได้ เจ้าเป็นผู้หญิงที่ต่างจากคนอื่นจริงๆ”

อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณสำหรับคำชม”

เมื่อเห็นนางยิ้มได้ในที่สุด เย่จิ่งหลานก็รู้สึกโล่งใจ

“ไปแก้อาการเมาค้างเถอะ ประเดี๋ยวต้องออกจากวังไม่ใช่หรือ”

อินชิงเสวียนหรี่ตาและพูดว่า “เจ้าลืมหรือว่าข้ามีน้ำพุวิญญาณด้วย? ถ้าข้าอยากฟื้นจากการเมาค้าง ก็แค่ดื่มน้ำหนึ่งแก้ว”

เย่จิ่งหลานพูดจิ๊ๆ แล้วพูดว่า “ถ้าเจ้าไม่บอกข้าคงลืมไปแล้ว อ้อ อีกอย่าง ข้าแช่ตัวในน้ำสองถังนั้นแล้ว มีคราบดำๆ ออกมาจากตัวเยอะเลย นี่คงไม่ใช่การชำระวิญญาณล้างไขกระดูกในนิยายกระมัง”

อินชิงเสวียนหยิบขวดเบียร์ขึ้นมาอีก เทใส่แก้วให้ตัวเอง แล้วดื่มหมดรวดเดียว

พูดอย่างมึนเมาเล็กน้อย “ข้าไม่ค่อยแน่ใจ น่าจะใช่กระมัง หากเจ้าฝึกวรยุทธ์ คงได้ผลเป็นสองเท่ากระมัง ต่างจากข้า ที่ถูกจำกัดด้วยอายุ สามารถใช้ได้เพียงพลังในมิติเท่านั้น”

แล้วเย่จิ่งหลานก็แสดงสายตาอิจฉาอีก

“ความสามารถของเจ้านับว่ายอดเยี่ยมอยู่แล้ว ถ้าข้ามีทักษะเหมือนที่เจ้ามีในมิติ ข้าคงไร้คู่ต่อกรแล้ว”

อินชิงเสวียนกลอกตา

“ใช่ที่ไหน ข้ามีจำกัดเวลาและจำนวนครั้ง สามารถใช้ได้ครั้งละห้านาทีเท่านั้น แต่ละทักษะ สามารถใช้ได้วันละห้าครั้งเท่านั้น”

เย่จิ่งหลานหยิบไม้เสียบเนื้อย่างขึ้นมา แล้วพูดว่า “ความสามารถที่ฝืนชะตาฟ้าแบบนี้ ถ้าขืนระบบอนุญาตให้เจ้าใช้ได้ตลอด จะไม่บ้าเกินไปหน่อยหรือ”

อินชิงเสวียนคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดว่า “ก็ใช่ ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ควรพอใจแล้วน่ะสิ”

เย่จิ่งหลานส่ายศีรษะเหมือนบัณฑิตแก่ๆ พูดด้วยท่าทีเป็นผู้ใหญ่ “ไม่ใช่รึไง เป็นคนต้องรู้จักประมาณตน ถึงจะมีความสุข”

จากนั้นเขาก็หยิบผ้าเช็ดปากออกมาเช็ดปาก ด้วยกิริยาสง่างาม

“ดวงอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องออกจากวังแล้ว ข้าต้องกลับไปเตรียมตัวหน่อย ถึงอย่างไรเราก็เป็นคนมีร้านรวงค้าขาย ต้องฝากฝังกันหน่อย”

“อืม”

อินชิงเสวียนลุกขึ้นยืน ยืนโงนเงนเล็กน้อย

เย่จิ่งหลานเอื้อมมือไปช่วยประคองนาง

“เฮ้ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”

เมื่อถูกลมพัด อินชิงเสวียนก็รู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง นางก็หยิบขวดน้ำพุวิญญาณออกมา

หลังจากดื่มแล้วก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันตา

เย่จิ่งหลานยื่นมือออกไปทันที

“ให้ข้าลองบ้างสิ”

อินชิงเสวียนนำออกมาอีกแก้ว หลังจากที่เย่จิ่งหลานดื่มแล้วก็รู้สึกสดชื่นมีพลัง และมีกำลังวังชาขึ้น

“เยี่ยมเลย ถ้าเอาของสิ่งนี้ไปในยุคปัจจุบันได้ พวกเราคงรวยเละ”

“ใช่ แต่น่าเสียดาย ข้ากับเจ้าไม่สามารถกลับไปได้แล้ว”

เย่จิ่งหลานพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อยู่ที่นี่ก็ดี มีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ มีอาหารรสเลิศให้กิน มีสาวใช้คอยรับใช้มากมาย ยังจะต้องการอะไรอีก”

อินชิงเสวียนรู้สึกตลกกับเขา

“เลิกโม้ได้แล้ว ไปกันเถอะ”

นางมีเรื่องต้องทำมากมาย

หลังจากไปส่งเป่าเล่อเอ่อร์แล้ว พรุ่งนี้ยังต้องไปสำนักศึกษาหลวง การช่วยชีวิตคนเป็นสิ่งสำคัญดังนั้นบทเรียนที่เหลือก็ให้ใต้เท้าเฒ่านั้นศึกษากันเองก่อน

“แล้วเจ้าคิดว่าเขาอยู่ที่ไหน”

อินสิงอวิ๋นวางจอกสุราลง ใบหน้าหล่อเหลาปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกมืดมนอยู่เป็นนิจ

“ข้าก็ไม่รู้ ทำได้แค่ตามหาเท่านั้น”

หลังจากที่กวนเซี่ยวพูดจบก็ลุกขึ้นยืน

ทั้งสองออกจากโรงเตี๊ยมด้วยกัน แต่ไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อ ขณะที่กำลังคิดหนัก จู่ๆ พวกเขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยเดินโซเซมาแต่ไกล

กวนเซี่ยวร้องลั่นด้วยความตกใจ

“ฟางรั่ว”

เขาวิ่งไปอย่างรวดเร็ว และกอดสตรีคนนั้น

นางคือฟางรั่วที่หมดสติอยู่ในป่า

เดิมทีอยากจะแทงอาซือหลานสักแผล แต่ไม่คิดว่านางจะหมดสติโดยไม่แม้แต่จะลงมือด้วยซ้ำ

เมื่อนางตื่นขึ้นมา ก็ไม่มีใครอยู่ในป่าแล้ว ฟางรั่วไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กำลังจะหาทางเข้าวังไปถามอินชิงเสวียน ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ปรากฏตัวในเหตุการณ์ อินชิงเสวียนคงรู้อะไรบ้าง

แต่ไม่นึก ว่าจะได้พบกับกวนเซี่ยวที่นี่โดยบังเอิญ

เมื่อเห็นว่ายังมีคราบเลือดบนใบหน้าของฟางรั่ว กวนเซี่ยวจึงถามอย่างกังวล “ฟางรั่ว เจ้าเป็นอะไร”

ฟางรั่วคว้าแขนของกวนเซี่ยวด้วยความสับสนงุนงง

“ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าหมดสติเพราะเสียงเพลง เจ้าช่วยพาข้าไปหากุ้ยเฟยหน่อยได้ไหม ข้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในป่า”

กวนเซี่ยวมองดูนางแล้วถามว่า “เจ้าไปทำอะไรในป่า ใครกันที่ทำร้ายเจ้า”

ฟางรั่วพูดอย่างอ่อนแรง “ข้าไปหาอาซือหลาน ตอนนั้นฝ่าบาทก็อยู่ที่นั่น”

อินสิงอวิ๋นก็เดินมาถึงอย่างรวดเร็วเช่นกัน

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ฟางรั่วรวบรวมกำลังเล่าเรื่องสิ่งที่นางเห็น

อินสิงอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าจะเข้าวังเดี๋ยวนี้”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์