สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 663

ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงลูกสะใภ้ของเซี่ยวอิ๋นหวน ฮวาเชียนก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังอีกแล้ว

นางหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ข้าคือคนขแงหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ผู้คุมตราเซี่ยวที่ท่านพูดถึงก็คือเสด็จแม่ของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์นี้ ไท่เฟยเซี่ยวอิ๋นหวน”

อินชิงเสวียนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เสด็จแม่ของฝ่าบาทคือคนในยุทธจักร อีกทั้งยังเป็นผู้คุมตราแห่งสำนัก นี่มันเกินจินตนาการมากไปแล้ว

ฮวาเชียนฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “เดิมทีข้าเป็นหญิงรับใช้ของผู้คุมตรา หลายปีก่อนข้าลงเขาไปอวยพรวันเกิดให้แก่เจ้าสำนักกระบี่สังหารกับผู้คุมตรา ระหว่างทางได้พบกับเสด็จพ่อของอวี้เอ๋อร์ ผู้คุมตราหลงใหลในคำหวานของเขาและตามเขาเข้าวัง แต่เรื่องดีมักไม่ยืนยาว ฝ่าบาทก็เปลี่ยนไปมีรักใหม่ ผู้คุมตราเศร้าหมองมาโดยตลอด เมื่อถูกเจ้าสำนักรู้เข้าจึงพยายามบังคับให้ผู้คุมตรากลับไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์”

เมื่อเล่าถึงตรงนี้ สายตาของฮวาเชียนก็มีความเกลียดชังแวบผ่านมา

“สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่ตระกูลราชวงศ์ที่ไร้หัวใจ”

“เช่นนั้น... พระศพของหวนไท่เฟยคืออะไรกัน?”

อินชิงเสวียนถามด้วยความไม่เข้าใจ

ฮวาเชียนถอนหายใจแล้วพูดว่า “นั่นเป็นเพียงภาพลวงตาที่ปิดหูปิดตาคนเท่านั้น เจ้าสำนักใช้ตัวยาพิเศษเพื่อให้เกิดผลดังกล่าว เหตุผลที่ข้าออกมาเป็นคนสุดท้าย ก็เพื่อช่วยผู้คุมตราจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นตามหลังเป็นอย่างดี”

ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะมีอุปสรรคมากถึงเพียงนี้ เมื่อนึกถึงคำพูดของท่านผู้เฒ่า อินชิงเสวียนก็เข้าใจในทันที

ท่านผู้เฒ่าคงรักลูกศิษย์สุดหัวใจ จึงได้เกลียดแค้นเย่จิ่งอวี้มากเพียงนี้ แต่เชื้อพระวงศ์ก็ไม่ใช่คนเลวทั้งหมด

ความจริงใจของเย่จิ่งอวี้ ความรักของเย่จั้น มากพอที่จะพิสูจน์ว่าผู้ชายตระกูลเย่ยังมีคนดีอยู่

อินชิงเสวียนเหม่อลอยไปชั่วครู่ จึงรีบเก็บความคิดกลับคืนมา

“เรื่องที่หวนไท่เฟยบาดเจ็บคืออะไรกัน?”

ฮวาเชียนถอนหายใจแล้วพูดว่า “เพราะสงครามเป่ยไห่ ผู้คุมตราเซี่ยวต้องการต่อต้านชาวตงหลิว จึงพยายามทุ่มเทแรงกายทั้งหมดในการบรรเลงพิณการเวก ไม่เพียงแต่ถูกชาวตงหลิววางยาพิษ แต่ยังถูกพิณการเวกสะท้อนกลับ ตอนนี้ชีวิตแขวนบนเส้นด้าย ข้าไปเมืองหลวงในครั้งนี้ก็เพื่อตามหาฮ่องเต้”

เย่จิ่งหลานพูดต่อว่า “ฝ่าบาทไม่ได้กลับเมืองหลวง พวกเราเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อตามหาเขา”

ฮวาเชียนหน้าซีดในทันที

“เจ้าสำนักส่งคนตามหาอวี้เอ๋อร์ทั่วทั้งชายฝั่งทะเลเป่ยไห่อยู่ตลอด แต่กลับไร้วี่แวว เขาไปที่ไหนกันแน่?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ อินชิงเสวียนก็ร้อนใจและรีบถามว่า “เขาไม่ได้ช่วยรักษาหวนไท่เฟยงั้นหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

ฮวาเชียนพูดอย่างเบื่อหน่ายว่า “เจ้าสำนักมีนิสัยดื้อรั้น ไม่ได้คิดจะบอกตัวตนที่แท้จริงของผู้คุมตรากับฝ่าบาท ต้องเป็นเพราะอวี้เอ๋อร์ตื่นขึ้นมา เห็นว่ามีคนกำลังเอาเจาะเลือด จึงทำการต่อสู้แล้วหนีไป”

เย่จิ่งหลานพูดด้วยใบหน้าไร้คำพูดว่า “เจ้าสำนักของพวกท่านก็จริงๆ เลยนะ เรื่องแบบนี้กลับไม่พูดให้ชัดเจน”

ฮวาเชียนก็ไร้หนทางเช่นกัน เจ้าสำนักมีนิสัยเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่นางจะขัดขวางได้

“เช่นนั้นตอนนี้ควรทำอย่างไร?”

เมื่อรู้ว่าเย่จิ่งอวี้ไม่มีที่ไปแน่ชัด อินชิงเสวียนก็เป็นห่วงขึ้นมาอีกครั้ง

เย่จิ่งหลานเอามือไพล่หลังเดินรอบห้อง พูดวิเคราะห์ด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เส้นทางไปเป่ยไห่มีเพียงเส้นเดียว หากฝ่าบาทกลับเมืองหลวง พวกเราต้องได้พบกันแน่นอน ในเมื่อไม่ได้พบกันก็พิสูจน์ได้ว่าเขายังไม่ได้กลับมา พวกเราควรเดินทางไปที่เป่ยไห่ หากฝ่าบาทรู้ว่าภรรยาของเขาอยู่ที่นั่น เขาต้องปรากฏตัวให้เห็นแน่นอน”

ฮวาเชียนไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า หากเย่จิ่งอวี้ไม่อยู่ที่เมืองหลวง ต่อให้นางไปก็คงเปล่าประโยชน์ กลับไปพร้อมพวกเขายังดีเสียกว่า หากชาวตงหลิวเข้ามาโจมตีก็สามารถช่วยได้อีกแรง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นต้องขอรบกวนท่านทั้งสองด้วย”

อินชิงเสวียนฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องเกรงใจ ท่านป้าฮวาพักรักษาตัวที่นี่ก่อน พวกเราจะรีบเดินทาไปยังเป่ยไห่”

ฮวาเชียนน้อมตัวพูดว่า “ขอบพระคุณกุ้ยเฟย ขอบพระคุณท่านฝูอี้อ๋อง”

“ช่างเถอะ พวกเราไม่ใช่คนถือพิธีรีตอง”

เย่จิ่งหลานพูดจบ ก็คลายสายหนังที่มือและเท้าของฮวาเชียนออก

อินชิงเสวียนจึงหยิบน้ำพุวิญญาณออกมา และป้อนให้ฮวาเชียนดื่มบ้างเล็กน้อย

ฮวาเชียนเดินทางไกล จึงเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ อีกทั้งยังโดนโจมตีจากชายชุดดำจนร่างกายบาดเจ็บสาหัส หลังจากที่ฝืนทนเพื่อมาที่นี่ ตอนนี้ก็ปลอดภัยดีแล้ว หัวใจที่ตึงเครียดก็ผ่อนคลายลงในทันที และก็หลับไปด้วยความสะลึมสะลือหลังจากนั้นไม่นาน

เย่จิ่งหลานตรวจร่างกายอีกครั้ง และพาอินชิงเสวียนออกจากห้องผ่าตัด

“เจ้าคิดว่าคำพูดของนางจริงเท็จมากน้อยเพียงใด?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์