สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 67

เย่จิ่งอวี้กดข้อมือของอินชิงเสวียนด้วยเข่าข้างหนึ่ง ใช้มือขวารัดคอของนาง ดวงตาของเขามืดมนและคมกริบ คมราวกับใบมีด

เมื่อมองเห็นเงาดำใหญ่เหนือศีรษะ หัวใจของอินชิงเสวียนก็เต้นรัวราวกับเสียงกลอง

“ฝ่าบาท กระหม่อมเอง...”

อินชิงเสวียนพยายามอย่างเต็มที่ที่ส่งเสียงแหบแห้งเหมือนเป็ดที่ตายแล้ว

ในความมืด ริมฝีปากสีชมพูของอินชิงเสวียนเผยอออกเล็กน้อย ออกแรงคว้ามือที่เหมือนเหล็กขนาดใหญ่ของเย่จิ่งอวี้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดของนาง

ดวงตาของเย่จิ่งอวี้เยียบเย็น แล้วจึงค่อยๆ ปล่อยมือออก

เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”

“วันนี้กระหม่อมกับเสี่ยวอานจื่อมาเฝ้ารับใช้ฝ่าบาท พอได้ยินเสียงของพระองค์ จึงคิดว่าฝ่าบาทประชวร จึงเข้ามาดู”

อินชิงเสวียนลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และไอหลายครั้งติดๆ กัน

ดวงตาของเย่จิ่งอวี้หรี่ลงเล็กน้อย แววตาไหวระริก

อินชิงเสวียนคุกเข่าลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว

“ฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินเสียงจึงเข้ามาจริงๆ กระหม่อมไม่มีวันกล้ามีเจตนาชั่วร้ายต่อฝ่าบาท กระหม่อมไม่มีอาวุธติดตัวมาด้วยซ้ำ”

อินชิงเสวียนตบหน้าอกตัวเอง เกิดเสียงแสกสาก

เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้วขึ้น “แล้วเจ้ามีอะไรติดตัวรึ”

“เอ่อ...”

อินชิงเสวียนปิดหน้าอก

“เอาออกมา”

เย่จิ่งอวี้ลุกขึ้นนั่งจากเตียงมังกร โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เส้นผมดำสนิทลู่ตกลงมาที่ไหล่ ดวงตาหงส์หรี่ลงเล็กน้อย ดูน่าครั่นคร้าม

เมื่อถูกเขาจ้องมองเช่นนี้ อินชิงเสวียนรู้สึกว่าหนังศีรษะชาดิก เหมาะแล้วกับอำนาจของฮ่องเต้ ทำเอานางแทบหายใจไม่ออก

เพื่อไม่ให้เย่จิ่งอวี้เข้าใจผิดว่าตัวเองเป็นนักฆ่า อินชิงเสวียนจึงทำได้เพียงหยิบตั๋วเงินที่อยู่ในอ้อมแขนออกมาเท่านั้น

คุกเข่าลงกับพื้นและพูดว่า “ครั้งล่าสุดที่กระหม่อมออกจากวัง ได้นำของเล็กๆ น้อยๆ มาจากบ้าน บังเอิญพบกับพระสนมหลิงผิน จึงขายให้กับพระนางไปบ้าง จากนั้นระหว่างที่พบพระสนมหลิงผินก็บังเอิญพบกับเจ้านายหลายคนที่มาหาพระสนมหลิงผินพอดี จึงได้ทำการค้า...”

เย่จิ่งอวี้เดินเท้าเปล่ามาจากเก้าอี้ยาว แล้วจุดเทียน

เสื้อคลุมสีขาวราวหิมะแขวนอยู่บนร่างอย่างหลวมๆ ต้องบอกว่า เย่จิ่งอวี้มีรูปร่างที่งดงามจริงๆ เขามีไหล่กว้าง เอวแคบ ขาเรียว และทุกอิริยาบถของเขาแสดงให้เห็นถึงความงามสง่า

อินชิงเสวียนไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะชื่นชมเรื่องนี้ และไม่รู้ว่าเย่จิ่งอวี้จะทำอะไรกับนาง

เย่จิ่งอวี้ถือวัตถุนั้นไว้ในมือจุดเทียนแล้ว เมื่อเห็นตั๋วเงินปึกใหญ่ ก็อดโกรธปนขำเสียมิได้

“บ่าวอย่างเจ้านี่นะ มาอยู่กับข้าแล้วยังไม่ลืมทำการค้าอีก”

อินชิงเสวียนพูดอย่างกระดากอาย “พวกพระสนมต้องการของเหล่านี้ กระหม่อมก็ต้องการเงิน นับว่าพวกเราต่างก็ได้ในสิ่งที่ต้องการทั้งสองฝ่าย”

เย่จิ่งอวี้บ่นพึมพำ “ได้รับในสิ่งที่เจ้าต้องการมากกว่ากระมัง”

ตอนแรกอินชิงเสวียนไม่แน่ใจว่าเย่จิ่งอวี้หมายถึงอะไร จึงพูดอย่างตัดใจ “ที่กระหม่อมต้องทำการค้าก็เพื่อช่วยแบ่งเบาความกังวลพระทัยของฝ่าบาท”

“อ้อ? เช่นนั้น เงินทั้งหมดนี้ก็มอบให้กับข้างั้นหรือ”

เย่จิ่งอวี้นั่งบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง ซึ่งเสื้อคลุมนั้นไม่ได้ปกปิดอะไรไว้เลย เผยให้เห็นลำขาอันยาวเหยียดของเขา

“พ่ะย่ะค่ะ”

อินชิงเสวียนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง

เย่จิ่งอวี้วางตั๋วเงินลงบนโต๊ะแล้วพูดอย่างสบายๆ “ไม่นึกว่าเจ้าจะใส่ใจประชาชนในแผ่นดินถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเราก็จะยอมรับไว้แทนพวกเขาเอง”

จู่ๆ อินชิงเสวียนก็รู้สึกหน้ามืด นั่นคือเงินห้าพันตำลึงเชียวนะ จะถูกพรากไปเช่นนี้หรือ!

ในขณะนี้เอง นางถึงกับมีความความคิดที่จะฆ่าคนแล้วด้วยซ้ำ

อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ และสาปแช่งในใจ

ไร้ยางอาย ไร้ยางอายเกินไปแล้ว!

เป็นถึงเจ้าผู้ครองแคว้นแต่กลับสนใจเงินของนาง แคว้นต้าโจวขาดเงินไม่กี่พันตำลึงหรือ สารเลวเย่จิ่งอวี้ผู้นี้จงใจแกล้งนางชัดๆ

เย่จิ่งอวี้เหลือบมอง รอยยิ้มในดวงตาของเขาก็เข้มขึ้นเล็กน้อย

จากนั้นเขาก็มองออกไปนอกหน้าต่าง “ตอนนี้ยามใดแล้ว”

“ฝ่าบาท ใกล้ถึงยามอิ๋นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เสี่ยวอานจื่อวิ่งเข้ามาจากด้านนอก

เมื่อเห็นอินชิงเสวียนคุกเข่าอยู่บนพื้น สีหน้าท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปทันที รีบคุกเข่าลงข้างๆ นางแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท เสี่ยวเสวียนจื่อเพิ่งเคยอยู่เวรเป็นครั้งแรก ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ หวังว่าฝ่าบาทจะอภัยโทษให้”

เย่จิ่งอวี้พูดอย่างใจเย็น “เจ้าถอยไปก่อน”

เสี่ยวอานจื่อต้องการพูดแก้ตัวให้นาง แต่ก็ไม่กล้าทำให้ฮ่องเต้ขุ่นเคือง ดังนั้นจึงจำใจต้องล่าถอย

เย่จิ่งอวี้เหลือบมองอินชิงเสวียนแวบหนึ่ง

“เจ้าก็ลุกขึ้นเถอะ”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

อินชิงเสวียนยืนขึ้นด้วยความเศร้าเสียใจ จ้องมองไปที่ตั๋วเงินบนโต๊ะ

นี่คือต้นทุนสำหรับการหลบหนีของนาง และตอนนี้นางไม่เหลืออะไรแล้ว หากรู้เช่นนี้ นางคงพยายามหาทางส่งกลับไปเก็บที่วังเย็นก่อน

เย่จิ่งอวี้จิบชาและพูดกระทบ “ขุนนางใหญ่หลายคนของเราต่างก็บอกว่าตัวเองเป็นขุนนางมือสะอาด ซื่อสัตย์สุจริต แต่หญิงงามเหล่านี้กลับสามารถเอาเงินหลายพันตำลึงออกมาได้อย่างง่ายดาย ช่างน่าขันจริงๆ”

อินชิงเสวียนที่อารมณ์ไม่ดี ก็อดไม่ได้พูดขึ้นว่า “แน่นอนว่าการเป็นเจ้าหน้าที่ก็ทำเพื่อเงิน หากไร้ซึ่งเงินแล้วผู้ใดจะยอมเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ”

“ไร้สาระ”

เย่จิ่งอวี้ตบโต๊ะและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “การเป็นเจ้าหน้าที่ขุนนางไม่ได้ทำเพื่อรับใช้บ้านเมือง เพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองหรอกหรือ”

อินชิงเสวียนพูดด้วยใบหน้าหมองคล้ำ “ถึงจะมี แต่ก็น้อยมาก มีสำนวนในแคว้นฮว๋าเซี่ยวกล่าวว่า เลื่อนตำแหน่งแล้วจะรุ่งโรจน์ การเลื่อนตำแหน่งต้องมาก่อน ซึ่งหมายความว่าต้องเป็นเจ้าหน้าที่ขุนนางใหญ่โตเท่านั้นถึงจะมีเงิน หากไม่มีเงินสักอีแปะ ผู้ใดจะยอมเป็นเจ้าหน้าที่ขุนนางเล่า”

“บัดซบ ถ้าคนพวกนี้คิดเช่นนั้น แคว้นยังเป็นแคว้นอยู่อีกหรือ”

เย่จิ่งอวี้ยืนขึ้นจากเก้าอี้มังกร เดินตรงมาหาอินชิงเสวียน ดวงตาหงส์มองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ราวกับกำลังรอคำตอบจากนาง

เมื่อเห็นขายาวคู่นั้น อินชิงเสวียนก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น จากตำแหน่งของนาง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็จะเห็นสิ่งบัดสีทันที

แม้ว่าเย่จิ่งอวี้จะสวมกางเกงขาสั้นผ้าแพร แต่ก็ดูหมิ่นเหม่อยู่มาก

เมื่อในใจรู้สึกไม่สบายใจ คำพูดที่ออกจากปากก็ยิ่งแย่ลงไปอีก

“แคว้นเป็นของฮ่องเต้ ไม่ใช่เหล่าขุนนางเสียหน่อย ผู้ใดจะสนใจอะไรมากมายเพียงนั้น ตราบใดที่พวกเขาได้รับเบี้ยรายเดือนก็เพียงพอแล้ว”

เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ขบกรามแน่น

แม้ว่าสิ่งที่อินชิงเสวียนพูดนั้นจะไม่น่าอภิรมย์ แต่ก็ไม่ได้ไร้เหตุผล ตาเฒ่าที่อยู่ในราชสำนักเหล่านั้น อาศัยว่าตัวเองมีฐานะเป็นขุนนางอาวุโสที่ผ่านมาสองรัชสมัย วันๆ อาศัยที่ตนมีอายุมากและเป็นผู้อาวุโสไปเที่ยวดูถูกผู้อื่น ไม่รู้ว่าพูดพล่ามอะไรนักหนา

คนประเภทนี้ไม่ทำอะไรเลย แต่ยังได้รับเบี้ยรายเดือนจากราชสำนัก ถ้าไม่แก้ไข แคว้นต้องพินาศแน่นอน

ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิด หลี่เต๋อฝูก็เดินเข้ามาจากด้านนอกโดยถือฉลองพระองค์อยู่ในมือ

เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า แววตาก็พลันสั่นสะท้าน

เห็นเพียงว่าเสื้อคลุมของเย่จิ่งอวี้เปิดอยู่ ยืนเอามือไพล่หลังอยู่กลางห้อง อินชิงเสวียนคุกเข่าอยู่บนพื้น โดยที่ศีรษะของนางอยู่ในระดับเอวของเย่จิ่งอวี้พอดี

เขาสะอึกและถอยกลับอย่างรวดเร็ว

ใบหน้าแก่ๆ กลายเป็นสีแดงเหมือนลูกมะเขือเทศ

ฝ่าบาท...ทรงชอบแนวนี้จริงๆ

นี่เป็นการผิดหลักจริยธรรมโดยสิ้นเชิง

มิน่าเล่าพระองค์ถึงทรงโปรดเสี่ยวเสวียนจื่อมากเพียงนี้!

ทีนี้จะทำอย่างไรดี

หากฮ่องเต้หมกมุ่นอยู่กับเรื่องพรรค์นี้ เขาจะให้กำเนิดโอรสสวรรค์ได้อย่างไร

ไม่ได้ เขาต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อทัดทาน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้ฝ่าบาทชอบสตรีให้จงได้

หลี่เต๋อฝูกัดฟันไอแห้งๆ ข้างนอกแล้วพูดว่า “กระหม่อมมาช่วยฝ่าบาทผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้หายใจเข้าลึกๆ

“เข้ามาเถอะ”

ในห้องโถงอันเงียบงัน กระแสเสียงขุ่นเคืองนี้ชัดเจนมาก

หลี่เต๋อฝูคิดกับตัวเอง แย่แล้ว คราวนี้จบเห่แล้วจริงๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์