สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 68

“เจ้าก็ลุกขึ้นเถอะ”

เสียงของเย่จิ่งอวี้แผ่วเบาและสิ้นหวังอย่างอธิบายไม่ถูก

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

อินชิงเสวียนยืนขึ้นจากพื้น สายตายังคงเหลือบมองตั๋วเงิน อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่

หลี่เต๋อฝูเข้ามาจากด้านนอกห้องโถง และบังเอิญเห็นอินชิงเสวียนกลืนน้ำลายพอดี หูของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเถือก

เมื่อเห็นหลี่เต๋อฝูจ้องมองนางด้วยสีหน้าแปลกๆ อินชิงเสวียนก็ประหลาดใจ และขยับเข้าไปใกล้โต๊ะมากขึ้น

หลี่เต๋อฝูไม่กล้าเปิดเผยมากเกินไป รีบเข้าไปเปลี่ยนชุดให้เย่จิ่งอวี้อย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้หันหลังให้ตัวเอง อินชิงเสวียนก็รีบดึงตั๋วเงินสองใบออกมาอย่างรวดเร็ว พับและยัดกลับเข้าไปในแขนเสื้อ

แม้สองร้อยตำลึงก็ทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นมาก

หลังจากนั้นไม่นาน เย่จิ่งอวี้ก็แต่งกายเต็มยศ

มงกุฎฮ่องเต้ที่ประดับด้วยหินโมราสีแดง เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุดของฮ่องเต้ มังกรทองห้าเล็บบนหน้าอกมีความสง่างามและทรงพลัง

เมื่อเย่จิ่งอวี้สวมฉลองพระองค์เสร็จ จู่ๆ ก็มีกลิ่นอายดุดันและทรงพลัง อากัปกิริยาของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าถูกภูเขาไท่ซานกดทับ แสดงถึงความสง่างามของเขา

อินชิงเสวียนถูกกดไว้ด้วยกลิ่นอายนี้ จึงก้มศีรษะลงโดยไม่รู้ตัว

หลี่เต๋อฝูตรวจสอบอย่างรอบคอบอีกครั้ง ก่อนที่จะตะโกนสุดเสียง “เตรียมเสด็จ เข้าประชุมเช้า”

เย่จิ่งอวี้ได้ก้าวออกจากประตูตำหนัก ยกฉลองพระองค์แล้วก้าวขึ้นราชรถ

อินชิงเสวียนเหลือบมองตั๋วเงินที่วางอยู่บนโต๊ะ ถึงอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ได้ตรวจนับแล้ว ดังนั้นจึงดึงออกมาอีกสามใบ แล้วรีบวิ่งไปที่ประตู

ขบวนเสด็จของเย่จิ่งอวี้จากไปแล้ว เสี่ยวอานจื่อจึงรีบเข้ามาดึงแขนนาง

“เมื่อครู่เจ้าเข้าไปทำอะไรในห้อง เจ้าทำให้ข้ากลัวแทบตาย”

อินชิงเสวียนพูดด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “อย่าพูดถึงเลย ข้าได้ยินฮ่องเต้พึมพำ คิดว่าเขาป่วย เดิมทีอยากจะเข้าไปดู แต่เขาเกือบจะรัดคอข้าจนตาย”

บัดนี้อากาศเย็นลงบ้างแล้ว อินชิงเสวียนยกคอขึ้น บนนั้นกลับมีรอยสีม่วงคล้ำปรากฏ

เสี่ยวอานจื่อให้กำลังใจและพูดว่า “บางทีฮ่องเต้อาจฝันร้ายอีกแล้วกระมัง”

เขามองไปรอบๆ และกระซิบ “ข้าได้ยินมาว่าตอนที่ไท่เฟยเสียชีวิตมีเลือดออกทั้งเจ็ดทวาร น่ากลัวมาก ตอนนั้นฮ่องเต้ยังทรงพระเยาว์ มีอายุเพียงไม่กี่ชันษา เมื่อได้เห็นด้วยตาตนเองคงเหลือเงาร้ายไว้ มักจะฝันร้ายตลอด ต้องโทษที่ข้าประมาท ลืมบอกเรื่องนี้กับเจ้า ถ้าฮ่องเต้ฝันร้ายก็ห้ามไปปลุกอีก เพียงแค่คอยเฝ้าอยู่ข้างๆ พระองค์จะค่อยๆ ตื่นขึ้นเอง”

“หา! หรือว่าไท่เฟยถูกวางยาพิษตาย”

อินชิงเสวียนถามด้วยความประหลาดใจ

เสี่ยวอานจื่อรีบเอามือปิดปากนางอย่างรวดเร็ว

“เรื่องนี้ห้ามพูดไร้สาระ ต่อไปก็ห้ามพูดถึงอีก”

อินชิงเสวียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วดึงมือเขาออก

แต่ก็คิดอยู่ในใจว่า การแก่งแย่งชิงดีในวังหลวงที่แสดงกันในละครโทรทัศน์ส่วนใหญ่นั้นเป็นเรื่องจริง ไม่นึกว่าวังหลังจะเกิดเรื่องน่าเศร้าเช่นนี้ได้จริงๆ

หากเสียชีวิตด้วยอาการป่วยตามธรรมชาติ คงไม่มีเลือดออกทวารทั้งเจ็ดที่น่ากลัวเช่นนี้แน่นอน

หลังจากจินตนาการภาพของไท่เฟย อินชิงเสวียนก็อดตัวสั่นเทิ้มไม่ได้

“พวกเรากลับไปนอนตอนนี้ได้หรือไม่”

เสี่ยวอานจื่อโบกมือของเขา “กลับกันเถอะ”

ทั้งสองกลับไปที่ห้องพักของขันที อินชิงเสวียนง่วงมาก พอหัวถึงหมอนก็หลับทันที

เมื่อลืมตาขึ้น ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว

เสี่ยวอานจื่อตื่นขึ้นก่อนแล้ว กำลังล้างหน้าอยู่อีกด้าน

“รีบไปเก็บของซะ ฮ่องเต้กำลังจะเลิกประชุมเช้าแล้ว”

อินชิงเสวียนขยับแขนที่ชา เตรียมพร้อมที่จะทำงาน

...

ณ ตำหนักจินหลวน

เย่จิ่งอวี้วางมือข้างหนึ่งบนที่พักแขนเก้าอี้มังกรที่แกะสลักเป็นรูปเศียรมังกร กวาดตามองขุนนางด้วยสายตาเย็นชา

หานสือเสนาบดีกรมพระคลังเดินออกมาด้วยใบหน้าที่มีความสุข คุกเข่าลงกับพื้นและกล่าวว่า “ฝ่าพระบาททรงพระปรีชา บัดนี้การระบาดของตั๊กแตนได้รับการแก้ไขแล้ว กองทัพเป็ดไก่มีน้ำหนักตัวมากขึ้นเป็นกอง ที่ดินในชานเมืองหลวงถูกบุกเบิกเรียบร้อย สามารถหว่านเมล็ดพืชได้ตลอดเวลา”

ฉินไฮ่ฉิวเสนาบดีกรมโยธารายงานเสริมอีกว่า “ขณะนี้โครงการผันน้ำจากใต้สู่เหนือได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ทหารทำงานหนักทั้งกลางวันและกลางคืน เริ่มเห็นผลบ้างแล้ว ไม่ว่าน้ำจะไหลไปที่ใด พืชผลเจริญงอกงามขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด เมื่อวานมีฝนตกจากฟ้า นับเป็นสัญญาณที่ดี”

บรรดาขุนนางรีบกล่าวคล้อยตาม “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะฝ่าบาทบริหารจัดการแคว้นอย่างดี ทำให้สวรรค์ซาบซึ้ง แคว้นต้าโจวสามารถมีฮ่องเต้ที่ปรีชาเช่นนี้ นับเป็นพรจากวรรค์ที่แท้จริง”

เย่จิ่งอวี้พูดเบาๆ “ประชาชนเดือดร้อน บ้านเมืองก็เดือดร้อน ถ้าประชาชนสุขสบาย ข้าก็สบายใจได้ ตราบใดที่ขุนนางทุกท่านร่วมแรงร่วมใจกัน พวกเราก็สามารถเอาชนะความยากลำบากได้ หากพวกท่านกล้าคิดเป็นอื่น ฉ้อราษฎ์บังหลวง ข้าไม่มีวันให้อภัยเด็ดขาด”

ทุกคนคุกเข่าลงเมื่อได้ยินสิ่งนี้

“พวกกระหม่อมจะตอบแทนน้ำพระทัยของฝ่าบาทอย่างสุดกำลัง”

เย่จิ่งอวี้โบกมือ

“ลุกขึ้นเถอะ”

เขาหันไปหาโหราจารย์ทันที

“เมื่อวานท่านบอกว่าช่วงนี้จะไม่มีฝนตกในเมืองหลวง แต่ทันทีที่เรากลับถึงวังหลัง ฝนก็เริ่มตก ในฐานะที่ท่านเป็นโหราจารย์ แต่กลับมองเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ออก สมควรมีโทษประการใด”

หราจารย์ตัวสั่นไปทั้งตัว คุกเข่ากับพื้นเสียงดังลั่น

“ฝ่าบาทโปรดประทานอภัย ดวงดาวแสดงว่าช่วงนี้ฝนไม่ตกจริงๆ ไม่รู้ว่าจู่ๆ เมื่อวานยามบ่ายฝนตกได้อย่างไร...”

เมื่อพูดไปได้ครึ่งประโยค เขาก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างและพูดว่า “ระยะนี้กระหม่อมก็สังเกตเห็นสิ่งอื่น แต่ไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่”

เย่จิ่งอวี้พูดเสียงเย็นชา “พูด”

โหราจารย์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “กระหม่อมสังเกตเห็นบางสิ่งแปลกๆ ของดาวราชินี ข้างๆ ดาวราชินีมีดาวจื่อเวยอยู่ดวงหนึ่ง...”

ดาวจื่อเวยซึ่งก็คือดาวจักรพรรดิในอนาคต เพียงแต่พระสนมในวังเย็นตายไปแล้ว ฝ่าบาทก็ไม่ได้ร่วมหอกับพระสนมคนใดในวังหลัง โหราจารย์จึงไม่กล้าพูดประโยคต่อจากนี้

ลู่ถงหนึ่งในคณะขุนนางราชเลขาก้าวไปข้างหน้าทันที และกล่าวว่า “ดาวราชินีเกิดสิ่งแปลกๆ ต้องเป็นคำเตือนจากสวรรค์ว่าฝ่าบาทควรจะแต่งตั้งฮองเฮาได้แล้ว บัดนี้ฝ่าบาทได้ขึ้นครองบัลลังก์ครบปีแล้ว แต่ตำแหน่งฮองเฮากลับว่างเว้นมาโดยตลอด ส่งผลให้ไม่มีนายหญิงดูแลวังหลัง หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้ผู้คนคิดอกุศล ขอฝ่าบาททรงแต่งตั้งฮองเฮาโดยเร็วที่สุด เพื่อรักษาเสถียรภาพของวังหลัง”

เย่จิ่งอวี้เหลือบมองอย่างเย็นชา โดยรู้ว่าลู่ถงกำลังคิดอะไรอยู่

ลู่จิ้งเสียนเป็นธิดาของลู่ถง เขาสนใจเพียงนี้ ย่อมทำเพื่อความมั่งคั่งของครอบครัวเขาอยู่แล้ว

ดูเหมือนว่าเสี่ยวเสวียนจื่อจะพูดถูก เจ้าหน้าที่ที่ซื่อสัตย์นั้นหายากจริงๆ

เมื่อคิดได้ดังนี้ก็คำรามด้วยความโกรธอย่างอดไม่ได้

“แม้แต่เรื่องฟ้าฝนโหราจารย์ยังไม่สามารถคำนวณได้แม่นยำ ยังกล้าพูดถึงดาวราชินีกับข้าอีก ทหาร ลากโหราจารย์ผู้นี้ออกไป ลงโทษให้เขาคุกเข่าที่ประตูจิ้งอานเป็นเวลาสามวัน หากกล้าพูดเรื่องไร้สาระอีก ข้จะถอดหมวกของเจ้าออก”

โหราจารย์ทำหน้าเศร้าเสียใจ นี่คือสิ่งที่เขาเห็นจริงๆ นะ

เมื่อคิดว่าต้องคุกเข่าอีกสามวัน เขาก็อยากจะกัดลิ้นตัวเองเป็นชิ้นจริงๆ แค่คำนวณเรื่องฟ้าฝนผิดไปก็เพียงแต่กล่าวขออภัย ฮ่องเต้คงไม่ลงโทษอย่างจริงจัง คราวนี้เป็นอย่างไร ต้องมาตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนแล้ว

เย่จิ่งอวี้หันความสนใจไปที่ลู่ถง พูดด้วยรอยยิ้มแต่ตาไม่ยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่าใต้เท้าลู่เป็นห่วงเป็นใยถึงความลำบากของประชาชนมาโดยตลอด ตอนนี้ที่ดินเพาะปลูกในเขตชานเมืองของเมืองหลวงบุกเบิกเสร็จแล้ว เพื่อที่จะให้ใต้เท้าลู่เข้าใจถึงความทุกข์ยากของชาวบ้านได้ดีขึ้น ข้าขอสั่งให้เจ้าไปหว่านเมล็ดพันธุ์ ไม่ทราบว่าใต้เท้าลู่คิดเห็นอย่างไร”

ลู่ถงแอบไม่พอใจที่ฮ่องเต้กำลังกลั่นแกล้งเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เดิมทีเขาต้องการพูดถึงเรื่องการให้อันผิงอ๋องกลับสู่ราชสำนัก แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรสักคำ

เขาแสร้งทำเป็นมีความสุขทันทีและพูดว่า “กระหม่อมเต็มใจอย่างยิ่ง ขอบพระทัยสำหรับความเมตตาของฝ่าบาท”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์