สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 70

ณ ตำหนักฉือหนิง

ไทเฮานั่งอยู่บนเก้าอี้นวมนุ่มๆ และข้างๆ นางก็มีลู่จิ้งเสียนที่กำลังร้องไห้อยู่

“เสด็จแม่เพคะ ฝ่าบาทให้ท่านพ่อของหม่อมฉันไปทำไร่ทำนา เช่นนี้แล้วตระกูลลู่ของพวกเราจะเงยหน้ามองผู้คนได้อย่างไร”

เวลาหนึ่งก้านธูปก่อนหน้านี้ เมื่อลู่จิ้งเสียนทราบข่าวก็รีบมาฟ้องไทเฮาทันที

สีพระพักตร์ของไทเฮาก็ดูไม่ดีเช่นกัน

นางรู้ข่าวแล้วว่าเย่จิ่งเย่าถูกกักบริเวณในจวน และตอนนี้ฮ่องเต้เริ่มหันเหความสนใจไปที่ตระกูลลู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทนไม่ได้จริงๆ

หากรู้เช่นนี้แต่แรก วันนั้นนางไม่ควรจะมีความเมตตา ถ้ากำจัดเด็กเวรผู้นี้ไปด้วย บัลลังก์ก็จะเป็นของเย่าเอ๋อร์

ครั้นนึกถึงตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังอยู่ พระองค์เคยตรัสว่าเย่จิ่งอวี้ที่ถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ก็แค่ทำให้เหล่าขุนนางดูเท่านั้น เขาจะส่งต่อบัลลังก์ให้กับเย่าเอ๋อร์ที่เป็นโอรสสายตรง

โดยไม่คาดคิดว่าก่อนตายตาเฒ่านั่นจะกลับคำ ส่งต่อบัลลังก์ให้กับเย่จิ่งอวี้โดยไม่มีเหตุผล เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาสองแม่ลูกรู้ตัว เย่จิ่งอวี้ก็ได้ขึ้นครองบัลลังก์ในฐานะฮ่องเต้แล้ว

ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้น้อยนี่ส่งเย่าเอ๋อร์ไปเฝ้าสุสานหลวง บัดนี้ก็เริ่มที่จะลงมือกับตระกูลลู่แล้ว ดูเผินๆ เหมือนว่าเขาจะยอมรับลู่จิ้งเสียนเนื่องจากเสาวนีย์ของนางเอง แต่นี่ไม่ใช่วิธีควบคุมตระกูลลู่วิธีหนึ่งหรือไร

ในเวลานั้นตัวเองไม่ควรสับสนจริงๆ ที่ให้เสียนเอ๋อร์เข้าวัง เมื่อผิดพลาดไปก้าวหนึ่ง ก้าวต่อมาก็ผิดพลาดไปตามๆ กัน

เมื่อเห็นว่าไทเฮาทรงนิ่งเงียบ ลู่จิ้งเสียนก็เริ่มกังวล ดึงแขนเสื้อของนางแล้วพูดว่า “เสด็จแม่ ท่านกล่าวอะไรบ้างสิเพคะ”

ไทเฮาตรัสอย่างขมขื่นว่า “เจ้าอยากให้ข้าพูดอะไร แค่ให้พ่อเจ้าทำนาสักสองสามวัน ไม่มีอะไรต้องกังวล ชาวบ้านทำนาภายใต้แสงแดดที่แผดเผาได้ ตระกูลลู่ของพวกเราก็ต้องทำได้”

ลู่จิ้งเสียนกระทืบเท้าพลางสะอื้น “ฝ่าบาททำเกินไปแล้ว ถึงกับให้ขุนนางฝ่ายเลขาธิการทำนา นางแพศยาซูฉ่ายเวยนั่นก็อาศัยที่ตัวเองเป็นสนมขั้นผิน รังแกหม่อมฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าเสด็จแม่ไม่ให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉัน หม่อมฉันคงมีชีวิตอยู่ไม่ได้แล้ว”

ไทเฮาตะคอกอย่างเย็นชา “ดูตัวเจ้าสิ วันๆ เอาแต่ร้องไห้ เย่จิ่งอวี้ชอบเจ้าก็แปลกแล้ว แม้แต่ขันทีข้างกายเขาเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ หรือว่ากับซูฉ่ายเวย เจ้าก็ทำไม่ได้งั้นหรือ”

ลู่จิ้งเสียนพูดด้วยดวงตาแดงก่ำ “ตอนนี้นางได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ หม่อมฉันจะกล้าจัดการกับนางได้อย่างไร”

ไทเฮาตรัสกับหมัวมัวชราที่อยู่ข้างๆ ทันทีว่า “ไปเรียกซูฉ่ายเวยมาหาข้า เมื่อนางมีฐานะเป็นเพียงเจ้านายจะไม่มาเข้าเฝ้าก็ไม่เป็นไร บัดนี้นางได้เป็นสนมขั้นผินแล้ว แต่กลับไม่รู้จักมาน้อมทักข้า คิดว่าวังหลังเป็นของนางจริงๆ งั้นหรือ”

“เพคะ หม่อมฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

ลู่จิ้งเสียนอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น

เมื่ออารมณ์ไม่ดี ก็ต้องหาที่ระบาย และซูฉ่ายเวยคือผู้ที่เหมาะสม

จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้นแล้วพูดว่า “หม่อมฉันขอบพระทัยเสด็จแม่ เพียงแต่เรื่องของท่านพ่อ...”

ไทเฮาขมวดคิ้ว จับหน้าผากแล้วพูดว่า “ให้ข้าใคร่ครวญดูอีกที”

ไม่เพียงแต่ลู่ถงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเย่าเอ๋อร์ด้วย

หากเขาไม่สามารถกลับมาในราชสำนักได้ เหล่าขุนนางย่อมไม่กล้าเข้าใกล้เขาเป็นธรรมดา ดังนั้นจำเป็นต้องคิดหาวิธีให้เย่าเอ๋อร์กลับเข้ามาหารือในราชสำนักได้โดยเร็ว

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ไทเฮาก็พบว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถโน้มน้าวเย่จิ่งอวี้ได้ และนั่นคือน้องชายของฮ่องเต้องค์ก่อน องค์ชายสิบสาม ลู่จ้าน

เพียงแต่คนผู้นี้ได้รับคำสั่งให้รักษาการณ์ในเมืองซุ่ยหานมานานหลายสิบปีแล้ว เว้นแต่จะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นเขาก็จะไม่กลับมา

นอกเหนือจากนี้แล้ว เหลือเพียงโหวเจียงผิงทางตอนเหนือเท่านั้น

คนผู้นี้เป็นพ่อตาของเย่าเอ๋อร์ จะรุ่งเรืองหรือหายนะล้วนเกี่ยวข้องกับอันผิงอ๋อง

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ไทเฮาจึงกล่าวกับสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ทันทีว่า “ไปเตรียมหมึกกับพู่กันมา ข้าจะเขียนหนังสือหย่าให้ท่านโหวเมืองเหนือ…”

ในเวลาเดียวกัน อินชิงเสวียนก็ไปที่ห้องเครื่องพร้อมกับเสี่ยวอานจื่อ

ระหว่างทางได้พบกับซูฉ่ายเวยที่กำลังออกมาพร้อมกับหลิวหมัวมัว

เสี่ยวอานจื่อและอินชิงเสวียนรีบแสดงความเคารพ ซูฉ่ายเวยโบกผ้าเช็ดหน้า แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ลุกขึ้นเถอะ”

เมื่อซูฉ่ายเวยรู้ว่าไทเฮาเรียตัวเองไปเข้าเฝ้า นางรู้สึกตื่นเต้นมาก คิดว่าตัวเองจะได้รับรางวัลอะไรอีก

หลังจากเดินไปได้สักพัก เสี่ยวอานจื่อก็กระซิบ “หมัวมัวชราผู้นั้นเป็นคนสนิทของไทเฮา เกรงว่าหลิงผินผู้นี้จะต้องทนทุกข์ทรมานแล้ว”

“เพราะเหตุใด” อินชิงเสวียนไม่ค่อยเข้าใจ

เสี่ยวอานจื่อกล่าวว่า “เมื่อก่อนมีพระสนมเสียนผินผู้เดียวที่ใหญ่ที่สุดในวังหลัง แต่ตอนนี้เมื่อมีหลิงผินขึ้นมาอีกคน นางจะรู้สึกสบายใจได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้น พระสนมเสียนผินก็เป็นหลานสาวของไทเฮา ดังนั้นจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีแก่นางได้อย่างไร”

อินชิงเสวียนจิ๊ปาก

“สตรีในวังนี้น่ากลัวจริงๆ”

เสี่ยวอานจื่อพยักหน้าและกล่าวว่า “เมื่อเทียบกับสตรีเหล่านี้ การอยู่เคียงข้างฮ่องเต้ก็ถือว่ามีความสุขกว่ามาก”

อินชิงเสวียนก็คิดว่านี่เป็นเรื่องจริง พอมาดูในตอนนี้ การอยู่รับใช้ใกล้ชิดเย่จิ่งอวี้แม้จะเหนื่อยไปหน่อย แต่ก็นับว่าสบายใจ

แต่เมื่อคิดว่าตัวเองออกมาจากวังเย็นเพื่อหาเงิน ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเงินกว่าสองพันตำลึง ในใจก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา

อินชิงเสวียนระบายความไม่พอใจทั้งหมดบนแป้งที่นวด หลังจากนวดไปสักพัก ในที่สุดนางก็รู้สึกดีขึ้นมาก ผ่านไปครึ่งชั่วยาม นางก็ทอดเปี๊ยะมันหมูได้มากกว่าสามสิบชิ้นแล้ว

ที่ด้านหลังของห้องครัวหลวงก็มีน้ำแข็งอยู่ แต่ถึงกระนั้น อินชิงเสวียนก็ยังคงทำงานจนเหงื่อออกมาก นางอยากเข้าไปอาบน้ำในมิติมาก แต่นางต้องกลับไปทำตามรับสั่ง ในตอนนี้ทำได้แค่ต้องอดทนเท่านั้น

ระหว่างทาง อินชิงเสวียนลากเสี่ยวอานจื่อเข้าไปที่พุ่มดอกไม้ข้างๆ

หยิบเปี๊ยะมันหมูทอดมาสองแผ่น แล้วส่งให้เสี่ยวอานจื่อ

“พวกเรากินกันก่อน ถือว่าเป็นการทดสอบพิษให้ฮ่องเต้”

เสี่ยวอานจื่อคิดว่าสมเหตุสมผลมาก พวกเขาจึงนั่งยองๆ อยู่ใต้พุ่มดอกไม้และเริ่มรับประทาน

เปี๊ยะมันหมูชิ้นเดียวไม่เพียงพอให้อิ่มอยู่แล้ว ดังนั้นอินชิงเสวียนจึงหยิบอีกชิ้นให้เสี่ยวอานจื่อ

เสี่ยวอานจื่อหลั่งน้ำตาด้วยความขอบคุณ แอบสาบานในใจว่าจะติดตามเสี่ยวเสวียนจื่อไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน เมื่อใดที่ออกจากวัง เขาก็จะเป็นพ่อบุญธรรมให้ของลูกๆ ของเสี่ยวเสวียนจื่อแน่นอน ตัวเองจะอดออมเก็บเงินในวังมากขึ้น เพื่อไว้ใช้ในวัยชรา

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ก็รู้สึกว่าตัวเองมิได้ไม่มีความสุขอีกต่อไป ชีวิตก็เต็มไปด้วยความหวัง

อินชิงเสวียนไม่รู้ว่าเสี่ยวอานจื่อกำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากดูเขากินเสร็จแล้ว ก็รีบกลับไปส่งมอบงานที่สวนอวิ๋นเซียง แต่ได้รับแจ้งจากขันทีน้อยว่าฮ่องเต้ได้กลับไปที่ห้องหนังสือแล้ว

ทั้งสองกลับไปที่ห้องหนังสือ ทันทีที่ไปถึงประตู เย่ไห่ถังก็วิ่งออกมา ย่นจมูกเล็กๆ ของนางแล้วพูดว่า “หอมจัง”

อินชิงเสวียนรีบเปิดกล่องอาหารอย่างรวดเร็ว “เชิญองค์หญิงเสวยตอนที่ยังร้อนๆ อยู่พ่ะย่ะค่ะ!”

“อืม”

เย่ไห่ถังไม่เกรงใจ เอื้อมมือไปหยิบเปี๊ยะมันหมูชิ้นหนึ่งขึ้นมา

หลี่เต๋อฝูรีบมาขวางไว้

“โปรดให้กระหม่อมทดสอบพิษก่อน”

เย่ไห่ถังผลักหลี่เต๋อฝูออกไป

“ไม่เป็นไร เขาไม่ทำร้ายข้าหรอก”

หลังจากพูดจบ ก็ยัดเปี๊ยะมันหมูเข้าไปในปากแล้วเริ่มเคี้ยว

เมื่อเห็นน้องสาวทำตัวหน้าขายหน้าเช่นนี้ เย่จิ่งอวี้ก็ส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ และเมื่อเขาได้กลิ่นเปี๊ยะมันหมูหอมกรุ่น เขาก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกนิ้วชี้ของเขา

หลี่เต๋อฝูรับเปี๊ยะมันหมูไปทันที ใช่เข็มเงินตรวจสอบพิษทีละชิ้น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้ที่มองดูอยู่ต้องขมวดคิ้ว หลังจากที่ตรวจสอบเสร็จแล้วเขาก็มอบให้กับฮ่องเต้

“ฝ่าบาท เชิญเสวย”

เย่จิ่งอวี้กัดคำหนึ่ง แล้วค่อยๆ เคี้ยว

ฝีมือของบ่าวตัวน้อยผู้นี้ไม่เลวจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่จะได้กลืนเปี๊ยะมันหมูลงคอ ก็ได้ยินเสียงเซียงหลานดังมาจากข้างนอก

“ฝ่าบาทช่วยด้วย ไทเฮากำลังสั่งสอนพระสนมของพวกเราอยู่เพคะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์