หลี่เต๋อฝูมาที่ประตูทันที ถลึงตามองและตำหนิว่า “บังอาจ ห้องหนังสือหาใช่สถานที่ที่เจ้าจะตะโกนโวยวายได้ไม่”
เซียงหลานผละตัวออกจากขันทีน้อยที่จับตัวนางไว้ คุกเข่าลงบนพื้นและโขกศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“หลี่กงกง ท่านช่วยรายงานฝ่าบาทให้ข้าทีเถิด ไทเฮากำลังสั่งสอนเจ้านายของข้า เจ้านายของข้าไม่ได้ทำผิดประการจริงๆ ฝ่าบาท โปรดช่วยเจ้านายหม่อมฉันด้วยเพคะ”
เย่ไห่ถังอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เย่จิ่งอวี้
“เสด็จพี่ใหญ่…”
เย่จิ่งอวี้เช็ดมือด้วยผ้าไหมและพูดอย่างใจเย็น “หลี่เต๋อฝู ตามไปดูซิ”
หลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ”
เซียงหลานคำนับอย่างตื่นเต้น “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”
หลังจากที่ทั้งสองจากไปแล้ว เย่ไห่ถังก็ไม่รู้สึกอยากกินเปี๊ยะมันหมูอีก
“เสด็จพี่ใหญ่ น้องก็ต้องขอลาเช่นกัน”
“อืม เอาเปี๊ยะมันหมูพวกนี้ไปทั้งหมดด้วย อย่าลืมถวายให้ไท่เฟยบ้าง”
เย่จิ่งอวี้พยักหน้ากล่าวรับด้วยเสียงอ่อนโยน
เย่ไห่ถังคำนับเย่จิ่งอวี้และพูดอย่างมีความสุข “ขอบคุณเสด็จพี่ใหญ่ เช่นนั้นน้องก็ไม่เกรงใจแล้ว อวิ๋นเฟิง พวกเราไปกันเถอะ”
“เพคะ”
อวิ๋นเฟิงหยิบกล่องอาหารขึ้นมา แล้วเสี่ยวอานจื่อก็มองตาอวิ๋นเฟิงไปจนสุดสายตาทันที อินชิงเสวียนเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง คิดกับตัวเองว่า ที่แท้ก็มีขันทีตกหลุมรักนางกำนัลในวังจริงๆ
เย่จิ่งอวี้กลับมาที่โต๊ะแล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าเฉยชาของเขา อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่ง
ซูฉ่ายเวยก็เป็นภรรยาของเขานะ ไม่คิดจะไปถามไถ่บ้างหรือ
เมื่อนึกถึงความทุกข์ยากของเจ้าของร่างเดิมก็รู้สึกเข้าใจในทันที
แม้แต่ภรรยาคนแรกเขายังสามารถเมินเฉยได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้อื่นเลย
ฮ่องเต้เป็นบุรุษที่โหดเหี้ยมที่สุดในโลกจริงๆ
ถุย!
อินชิงเสวียนถุยน้ำลายในใจ แล้วก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังลั่นนอกประตู
“ฝ่าบาท หม่อมฉันถูกใส่ร้ายเพคะ!”
ซูฉ่ายเวยวิ่งเข้ามาด้วยสภาพที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าบวมเป่ง
เมื่อเห็นท่าทางแปลกๆ ของซูฉ่ายเวย เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้ว
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ซูฉ่ายเวยสะอื้น พูดว่า “หม่อมฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หม่อมฉันนั่งอยู่ในตำหนักดีๆ ก็ได้ยินว่าไทเฮาเรียนไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักฉือหนิง เมื่อไปถึงที่นั่น ไทเฮาก็บอกว่าหม่อมฉันไม่ปฏิบัติตามกฎของวังหลัง ไม่ยอมไปเข้าเฝ้าไทเฮา จากนั้นก็ให้คนมาตบปากหม่อมฉัน เสียนผินก็อยู่ในตำหนักของไทเฮา ฝ่าบาท พระองค์ต้องให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันนะเพคะ”
เมื่อเห็นใบหน้าของซูฉ่ายเวยบวมแดง ผมเผ้าหยุ่งเหยิงเหมือนคนบ้า อินชิงเสวียนทั้งอยากจะหัวเราะ แต่ก็รู้สึกสงสารนางด้วย ที่ฮ่องเต้แต่งตั้งนางเป็นสนมขั้นผินต้องลำบากนางแล้วจริงๆ
เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย และหลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่ง เขาก็เข้าใจเหตุผลหลักๆ
เขาได้มีราชโองการถึงอันผิงอ๋อง ทั้งยังให้ลู่ถงไปทำนา ที่ไทเฮาทำเช่นนี้ก็เพื่อระบายความไม่พอใจของนางที่มีต่อเขา
“ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับตำหนักเจ้าก่อน”
ซูฉ่ายเวยส่ายศีรษะซ้ำๆ คุกเข่าลงกับพื้นแล้วพูดว่า “หม่อมฉันไม่กล้ากลับไปแล้ว หากหม่อมฉันกลับไป ไทเฮาต้องไม่ปล่อยหม่อมฉันไปแน่นอน หม่อมฉันจะอยู่ในห้องหนังสือกับฝ่าบาท”
เมื่อเห็นท่าทางร้องไห้กระซิกๆ ของซูฉ่ายเวย เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด เขาขมวดคิ้วราวกับว่าเขากำลังจะโมโห
แต่แล้วก็เปลี่ยนความคิด เอ่ยเสียงเรียบ “เช่นนี้ก็ไปรออยู่ข้างๆ”
ซูฉ่ายเวยดีใจมาก คุกเข่าลงแล้วพูดว่า “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาท”
“ลุกขึ้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...