สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 71

หลี่เต๋อฝูมาที่ประตูทันที ถลึงตามองและตำหนิว่า “บังอาจ ห้องหนังสือหาใช่สถานที่ที่เจ้าจะตะโกนโวยวายได้ไม่”

เซียงหลานผละตัวออกจากขันทีน้อยที่จับตัวนางไว้ คุกเข่าลงบนพื้นและโขกศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“หลี่กงกง ท่านช่วยรายงานฝ่าบาทให้ข้าทีเถิด ไทเฮากำลังสั่งสอนเจ้านายของข้า เจ้านายของข้าไม่ได้ทำผิดประการจริงๆ ฝ่าบาท โปรดช่วยเจ้านายหม่อมฉันด้วยเพคะ”

เย่ไห่ถังอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เย่จิ่งอวี้

“เสด็จพี่ใหญ่…”

เย่จิ่งอวี้เช็ดมือด้วยผ้าไหมและพูดอย่างใจเย็น “หลี่เต๋อฝู ตามไปดูซิ”

หลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ”

เซียงหลานคำนับอย่างตื่นเต้น “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”

หลังจากที่ทั้งสองจากไปแล้ว เย่ไห่ถังก็ไม่รู้สึกอยากกินเปี๊ยะมันหมูอีก

“เสด็จพี่ใหญ่ น้องก็ต้องขอลาเช่นกัน”

“อืม เอาเปี๊ยะมันหมูพวกนี้ไปทั้งหมดด้วย อย่าลืมถวายให้ไท่เฟยบ้าง”

เย่จิ่งอวี้พยักหน้ากล่าวรับด้วยเสียงอ่อนโยน

เย่ไห่ถังคำนับเย่จิ่งอวี้และพูดอย่างมีความสุข “ขอบคุณเสด็จพี่ใหญ่ เช่นนั้นน้องก็ไม่เกรงใจแล้ว อวิ๋นเฟิง พวกเราไปกันเถอะ”

“เพคะ”

อวิ๋นเฟิงหยิบกล่องอาหารขึ้นมา แล้วเสี่ยวอานจื่อก็มองตาอวิ๋นเฟิงไปจนสุดสายตาทันที อินชิงเสวียนเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง คิดกับตัวเองว่า ที่แท้ก็มีขันทีตกหลุมรักนางกำนัลในวังจริงๆ

เย่จิ่งอวี้กลับมาที่โต๊ะแล้ว

เมื่อเห็นสีหน้าเฉยชาของเขา อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่ง

ซูฉ่ายเวยก็เป็นภรรยาของเขานะ ไม่คิดจะไปถามไถ่บ้างหรือ

เมื่อนึกถึงความทุกข์ยากของเจ้าของร่างเดิมก็รู้สึกเข้าใจในทันที

แม้แต่ภรรยาคนแรกเขายังสามารถเมินเฉยได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้อื่นเลย

ฮ่องเต้เป็นบุรุษที่โหดเหี้ยมที่สุดในโลกจริงๆ

ถุย!

อินชิงเสวียนถุยน้ำลายในใจ แล้วก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังลั่นนอกประตู

“ฝ่าบาท หม่อมฉันถูกใส่ร้ายเพคะ!”

ซูฉ่ายเวยวิ่งเข้ามาด้วยสภาพที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าบวมเป่ง

เมื่อเห็นท่าทางแปลกๆ ของซูฉ่ายเวย เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้ว

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ซูฉ่ายเวยสะอื้น พูดว่า “หม่อมฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หม่อมฉันนั่งอยู่ในตำหนักดีๆ ก็ได้ยินว่าไทเฮาเรียนไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักฉือหนิง เมื่อไปถึงที่นั่น ไทเฮาก็บอกว่าหม่อมฉันไม่ปฏิบัติตามกฎของวังหลัง ไม่ยอมไปเข้าเฝ้าไทเฮา จากนั้นก็ให้คนมาตบปากหม่อมฉัน เสียนผินก็อยู่ในตำหนักของไทเฮา ฝ่าบาท พระองค์ต้องให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันนะเพคะ”

เมื่อเห็นใบหน้าของซูฉ่ายเวยบวมแดง ผมเผ้าหยุ่งเหยิงเหมือนคนบ้า อินชิงเสวียนทั้งอยากจะหัวเราะ แต่ก็รู้สึกสงสารนางด้วย ที่ฮ่องเต้แต่งตั้งนางเป็นสนมขั้นผินต้องลำบากนางแล้วจริงๆ

เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย และหลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่ง เขาก็เข้าใจเหตุผลหลักๆ

เขาได้มีราชโองการถึงอันผิงอ๋อง ทั้งยังให้ลู่ถงไปทำนา ที่ไทเฮาทำเช่นนี้ก็เพื่อระบายความไม่พอใจของนางที่มีต่อเขา

“ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับตำหนักเจ้าก่อน”

ซูฉ่ายเวยส่ายศีรษะซ้ำๆ คุกเข่าลงกับพื้นแล้วพูดว่า “หม่อมฉันไม่กล้ากลับไปแล้ว หากหม่อมฉันกลับไป ไทเฮาต้องไม่ปล่อยหม่อมฉันไปแน่นอน หม่อมฉันจะอยู่ในห้องหนังสือกับฝ่าบาท”

เมื่อเห็นท่าทางร้องไห้กระซิกๆ ของซูฉ่ายเวย เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด เขาขมวดคิ้วราวกับว่าเขากำลังจะโมโห

แต่แล้วก็เปลี่ยนความคิด เอ่ยเสียงเรียบ “เช่นนี้ก็ไปรออยู่ข้างๆ”

ซูฉ่ายเวยดีใจมาก คุกเข่าลงแล้วพูดว่า “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาท”

“ลุกขึ้น”

เย่จิ่งอวี้หลับตาลง นิ้วเรียวยาวหยิบฎีกาขึ้นมา

ซูฉ่ายเวยจัดแต่งทรงผม แล้วเดินอย่างสง่างามไปที่หน้าโต๊ะ

“ฝ่าบาท ให้หม่อมฉันฝนหมึกให้นะเพคะ”

เย่จิ่งอวี้ไม่ได้พูดอะไร ดังนั้นซูฉ่ายเวยจึงถือว่าเป็นการยินยอม พับแขนเสื้อขึ้นอย่างมีความสุข และเดินไปที่โต๊ะ

จู่ๆ เย่จิ่งอวี้ก็นึกถึงการหว่านเมล็ดพืช เงยหน้าขึ้นมองอินชิงเสวียน

“ที่ดินในเขตชานเมืองของเมืองหลวงมีการหว่านเมล็ดแล้ว เราได้มอบเมล็ดพันธุ์ให้กับเสนาบดีกรมคลังแล้ว และสั่งให้เขาไปหว่านเมล็ดพันธุ์ที่เขตชานเมืองของเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้ เจ้าก็ควรไปดูด้วย ถ้ามี สิ่งใดผิดพลาดจะได้แก้ไขให้ทันเวลา และต้องให้แน่ใจว่าเมล็ดพืชทั้งหมดจะเติบโต”

อินชิงเสวียนกำลังอยากจะออกว่าวังเพื่อไปดูว่าเส้นบะหมี่ของตัวเองขายได้อย่างไรบ้างแล้ว นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุข และรีบโค้งคำนับแล้วพูดว่า “กระหม่อมรับพระบัญชา กระหม่อมจะออกจากวังในเช้าวันพรุ่งนี้ทันที”

จากนั้นก็พูดอย่างระมัดระวัง “ขอฝ่าบาทโปรดอนุญาตได้หรือไม่ ให้บ่าวไปพักอยู่ที่วังเย็นคืนนี้ เพื่อพูดคุยประสาพี่น้องกับน้องสาว”

เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้ว แม้ว่าเสี่ยวเสวียนจื่อจะเป็นขันที แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะพักอยู่กับนางกำนัลในวัง แต่พอคิดว่าเป็นเพียงนางกำนัลกับขันที เขาก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าห่วง

เขาพยักหน้า “อนุญาต พรุ่งนี้เจ้าก็ถือป้ายทองประจำพระองค์ที่เรามอบให้แก่เจ้าออกจากวัง เราจะส่งองครักษ์สองคนติดตามเจ้าไป”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

ในชั่วพริบตานางไม่ได้กลับมาที่วังเย็นหลายวันแล้ว อินชิงเสวียนรู้สึกเป็นห่วงมาก โดยเฉพาะเจ้าหมาน้อย

ลูกยังเด็กนัก กลัวว่าจะป่วย คราวนี้ต้องแลกยาแก้ไข้กับแผ่นแปะลดไข้มาเตรียมไว้ด้วย เผื่อจำเป็นต้องใช้

หลังจากออกจากตำหนัก อินชิงเสวียนก็ตรงไปที่วังเย็น

ไม่ว่าจะเจอผู้ใด นางก็ก้มหน้าก้มตาเดิน จนมาถึงข้างวังเย็น เมื่อเข้าไปด้านในแล้วนางถึงรู้สึกโล่งใจ

ยายหลี่กำลังอุ้มเจ้าหมาน้อยอาบแดดอยู่ที่ประตู เมื่อเห็นอินชิงเสวียนเข้ามา นางก็ลุกขึ้นทันที พูดว่า “หม่อมฉันน้อมคำนับพระสนม”

อวิ๋นฉ่ายก็วิ่งมาด้วย “พระสนม ท่านกลับมาแล้ว!”

อินชิงเสวียนเดินไปที่แท่นหินแล้วนั่งลง ขณะที่ใช้เสื้อพัดให้ตัวเอง ก็เอ่ยถามว่า “ช่วงนี้เจ้าหมาน้อยสบายดีหรือไม่”

เจ้าหมาน้อยดูเหมือนจะรู้ว่าอินชิงเสวียนกำลังถามถึงตัวเอง เขากระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขทันที กางแข้นจ้ำม่ำออกแล้วโผเข้าใส่อินชิงเสวียน

ปากเล็กๆ ตะโกนไม่ชัด “แม่แม่ แม่แม่”

อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปรับเจ้าก้อนเนื้อจ้ำม่ำ ที่นั้งนุ่มและเจ้าเนื้อ ทั้งยังมีกลิ่นหอมของนม อุ้มได้เหมาะมือนัก

“เจ้าตัวแสบ เจ้าเรียกแม่หรือ” อินชิงเสวียนจิ้มจมูกเล็กๆ ของเขา

เจ้าหมาน้อยย่นจมูกและหัวเราะทันที

ซึ่งอวิ๋นฉ่ายหั่นแตงโมเย็นฉ่ำมาสองชิ้น “พระสนม เชิญดับกระหายเร็วเพคะ!”

อากาศร้อนจริงๆ

อินชิงเสวียนหยิบขึ้นมากัดคำหนึ่ง ทั้งเย็นทั้งหวาน ไม่ต้องพูดถึงว่าสดชื่นมากเพียงใด

เจ้าหมาน้อยมองดูแม่ของตนที่กำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย แล้วจึงพูดอ้อแอ้เหมือนอยากกิน แล้วฉวยโอกาสตอนที่อินชิงเสวียนไม่ระวัง ทันใดนั้นศีรษะเล็กๆ ของเขาก็โยกและงับแตงโมเข้าไปเต็มๆ

ยายหลี่ตกใจรีบบีบแก้มของเจ้าหมาน้อยแล้วควักแตงโมออกมา

“อันนี้กินไม่ได้นะ มีเมล็ดอยู่ ถ้าติดคอจะแย่เอา”

เจ้าหมาน้อยรู้สึกรำคาญทันที เขากำหมัดเล็กๆ ใบหน้าเล็กๆ ของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นเขาก็อ้าปากและเริ่มร้องไห้

อินชิงเสวียนรีบอุ้มขึ้นมาตบเบาๆ พร้อมกับโยกตัวไปมา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็กล่อมให้เขาหยุดร้องไม่ได้ จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าในร้านค้าคะแนนสะสมมีจุกนมสำหรับดื่มน้ำแตงโม จึงรีบส่งเจ้าหมาน้อยให้ยายหลี่ทันที

“ข้าจะไปหาเซียนอาวุโส ขอของเล่นมาสักหน่อย เจ้าคอยดูสักประเดี๋ยว”

ยายหลี่อุ้มเจ้าหมาน้อยมา เมื่อเขาเห็นว่าเป็นยายหลี่เจ้าหมาน้อยก็ยิ่งโกรธมากขึ้น เตะขาของนางอย่างแรง เสียงร้องไห้ก็ดังขึ้น

อินชิงเสวียนเข้าไปในมิติอย่างรวดเร็ว รีบแลกจุกนมที่สามารถกินแตงโมได้ และอีกอันคือตุ๊กตาดนตรีที่สามารถเต้นได้

หลังจากออกมา ก็รีบตักแตงโมออกมาใส่ไว้ในจุกนม และยัดเข้าไปในปากของเจ้าหมาน้อย

เจ้าหมาน้อยกัดจุกนมอย่างแรง และรสหวานไหลออกมาจากรูเล็กๆ ของจุกนม แล้วมือไม้ของเขาก็เริ่มโบกไปมาทันที

อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ พูดว่า “เจ้าเป็นเหมือนพ่อสารเลวของเจ้าไม่ผิดเลย พยศเหมือนลาเลย”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์