“หา?”
หลี่เต๋อฝูตกใจเล็กน้อย ฮ่องเต้นึกอย่างไรถึงจะเสด็จไปที่นั่น
ยิ่งพอนึกถึงเจ้านายในวังเย็นที่เหลือเพียงกระดูกไม่กี่ชิ้น กระดูกสันหลังของเขาก็เย็นวาบ
“ฝ่าบาท สถานที่อย่างวังเย็นนั้นเป็นมลทิน พระองค์สูงศักดิ์บริสุทธิ์ อย่าไปเหยียบสถานที่เช่นนั้นดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้กล่าวเสียงเย็นเยียบ “โลกใบนี้มีคนตายไม่เพียงร้อยคนพันคน หากผีสางมีอยู่จริง คงมีอยู่เต็มทั่ววังหลวงแห่งนี้แล้ว”
หลี่เต๋อฝูพอได้ยินวาจาของฮ่องเต้ ครานี้เย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง
“ฝ่าบาท...”
“มากความนัก!”
เย่จิ่งอวี้แค่นเสียงต่อว่า แต่ตัวคนกลับขึ้นไปนั่งอยู่บนเกี้ยวแล้ว
ขันทีน้อยเหล่านั้นแม้นจะกลัวจนตัวสั่ง แต่หากฮ่องเต้ต้องการเสด็จ พวกเขาก็ไม่กล้าขัดขวาง
พอมาถึงข้างกำแพงวังเย็น เสียงเห่าโฮ่งของไป๋เสวี่ยดังคราหนึ่ง แล้ววิ่งตรงไปที่ต้นไม้โบราณด้านล่าง เจ้าหมาตะกุยหญ้าบนพื้นแล้วมุดเข้าสวนไป
เย่จิ่งอวี้คิ้วขมวดแน่น ตรัสกับหลี่เต๋อฝูว่า “เจ้าไปดูซิ”
หลี่เต๋อฝูตามไปถึงข้างตัวไป๋เสวี่ย ทางไป๋เสวี่ยแยกเขี้ยวยิงฟันใส่หลี่เต๋อฝูจนเขาตกใจถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ทำให้เขาเห็นชัดขึ้นว่าตรงนั้นมีโพรงอยู่
“ทูลฝ่าบาท ด้านหลังต้นไม้มีประตูหมาอยู่พ่ะย่ะค่ะ คล้ายว่าถูกปิดไว้”
“เช่นนั้นรึ” ดวงตาเรียวหงส์ของเย่จิ่งอวี้ยกขึ้น หรือโพรงนี้ไป๋เสวี่ยขุดขึ้นมาเอง
แต่ตอนนี้ด้านในถูกปิดเอาไว้แล้ว
ไป๋เสวี่ยตะกุยอย่างไรก็เปิดโพรงไม่ได้ จึงเห่าโฮ่งๆ ไม่หยุดนั้นเอง
...
ด้านในกำแพง
อินชิงเสวียนเพิ่งจะกล่อมเจ้าหมาน้อยที่เริ่มขี้โวยวายให้หลับไป หูนางพลันได้ยินเสียงหมาเห่า จึงรีบเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
อวิ๋นฉ่ายพูดเสียงเบาว่า “พระสนม น่าจะเป็นไป๋เสวี่ย ให้บ่าวไปปล่อยตัวมันเข้ามาดีหรือไม่”
อินชิงเสวียนส่งสัญญาณให้นางเงียบ เพราะในเสียงเห่าของเจ้าไป๋เสวี่ยคล้ายจะมีเสียงคนพูดอยู่ด้วย
นางเดินย่องไปถึงประตูสุนัข ได้ยินหลี่เต๋อฝูพูดว่า “ฝ่าบาท พวกเราเดินเข้าผ่านประตูหลักเถิด”
เย่จิ่งอวี้มา?
ตายแล้ว
เขามาหาสวรรค์วิมานอะไรล่ะเนี่ย
เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก
อินชิงเสวียนตกใจจนสีหน้าขาวโพลน กระวนกระวายจนเดินวนอยู่กับที่
อวิ๋นฉ่ายก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี นางดึงชายเสื้ออินชิงเสวียนแล้วกล่าว “พระสนม ทำอย่างไรดี ฮ่องเต้คงไม่เสด็จเข้ามาหรอกนะ”
อินชิงเสวียนดึงชุดขันทีที่แขวนตากไว้บนราวเชือก สวมใส่อย่างว่องไวในพริบตา แล้วนางพูดกับอวิ๋นฉ่ายว่า “ให้ยายหลี่ดูแลเจ้าหมาน้อยให้ดี อย่าให้เขาตื่นเด็ดขาด หากเย่จิ่งอวี้เดินเข้ามาจริง ให้ข้ารับมือเอง”
“เพคะ”
อวิ๋นฉ่ายตอบรับแล้วรีบวิ่นแจ้นเข้าเรือนไป
อินชิงเสวียนมาถึงหน้าประตูวังเย็นแล้ว หัวสมองแล่นคิด ต้องหาทางดึงความสนใจจากเขาไว้ให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามให้เย่จิ่งอวี้เข้ามาเด็ดขาด
อินชิงเสวียนได้ยินเสียงฝีเท้ายิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้ขึ้นมาแล้ว พลันนึกขึ้นได้ว่าในร้านค้าคะแนนสะสมมีหนังสือขาย เขาชอบอ่านหนังสือนี่ เอาหนังสือมาแลกกับเขาสักสองสามเล่ม ไม่แน่อาจหลอกล่อให้เขาจากไปได้
นางรีบเข้ามิติ หยิบหนังสือ ‘ตำราการเกษตร’ กับ ‘กลยุทธ์ระบบชลประทาน’ แล้วรีบวิ่งออกมาจากมิติ
เย่จิ่งอวี้มาถึงปากประตูแล้ว
พอเห็นปากประตูวังเย็นที่เก่าซอมซ่อ ทำให้เขาอดนึกถึงสตรีที่แต่งเข้าจวนรัชทายาทไม่ได้
ตอนนั้นอินซื่อกับเย่จิ่งเย่าความสัมพันธ์ดีมาก ฮ่องเต้องค์ก่อนก็ทรงเห็นดีเห็นงามด้วยจึงให้ทั้งคู่ได้ลงเอยกัน
อำนาจทางทหารของตระกูลอินสามารถช่วยเย่จิ่งเย่าให้ขึ้นสู่งบัลลังก์ได้ เรื่องนี้ใครๆ ต่างก็ทราบกันดี
ต่อมา เย่จิ่งเย่าเปลี่ยนมาตบแต่งกับเจียงซิ่วหนิง บุตรีของท่านโหวจากทางเหนือ ฮ่องเต้องค์ก่อนจึงได้พระราชทานอินชิงเสวียนให้กับตน
ที่ฮ่องเต้องค์กรกระทำเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะต้องการช่วยให้เขาขึ้นสู่บัลลังก์ แต่ต้องการใช้ตระกูลอินมาควบคุมตนไว้ต่างหาก...
เย่จิ่งอวี้หวนนึกถึงเรื่องราวต่างๆ เรียงตาหงส์หรี่เล็กลง สายตาเย็นชาขึ้น
และเมื่อถึงอินชิงเสวียนลอบวางยาตน จนทำให้ทั้งสองมีสัมพันธ์สวาท ความเย็นชาในแววตาเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...