สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 73

“หา?”

หลี่เต๋อฝูตกใจเล็กน้อย ฮ่องเต้นึกอย่างไรถึงจะเสด็จไปที่นั่น

ยิ่งพอนึกถึงเจ้านายในวังเย็นที่เหลือเพียงกระดูกไม่กี่ชิ้น กระดูกสันหลังของเขาก็เย็นวาบ

“ฝ่าบาท สถานที่อย่างวังเย็นนั้นเป็นมลทิน พระองค์สูงศักดิ์บริสุทธิ์ อย่าไปเหยียบสถานที่เช่นนั้นดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้กล่าวเสียงเย็นเยียบ “โลกใบนี้มีคนตายไม่เพียงร้อยคนพันคน หากผีสางมีอยู่จริง คงมีอยู่เต็มทั่ววังหลวงแห่งนี้แล้ว”

หลี่เต๋อฝูพอได้ยินวาจาของฮ่องเต้ ครานี้เย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง

“ฝ่าบาท...”

“มากความนัก!”

เย่จิ่งอวี้แค่นเสียงต่อว่า แต่ตัวคนกลับขึ้นไปนั่งอยู่บนเกี้ยวแล้ว

ขันทีน้อยเหล่านั้นแม้นจะกลัวจนตัวสั่ง แต่หากฮ่องเต้ต้องการเสด็จ พวกเขาก็ไม่กล้าขัดขวาง

พอมาถึงข้างกำแพงวังเย็น เสียงเห่าโฮ่งของไป๋เสวี่ยดังคราหนึ่ง แล้ววิ่งตรงไปที่ต้นไม้โบราณด้านล่าง เจ้าหมาตะกุยหญ้าบนพื้นแล้วมุดเข้าสวนไป

เย่จิ่งอวี้คิ้วขมวดแน่น ตรัสกับหลี่เต๋อฝูว่า “เจ้าไปดูซิ”

หลี่เต๋อฝูตามไปถึงข้างตัวไป๋เสวี่ย ทางไป๋เสวี่ยแยกเขี้ยวยิงฟันใส่หลี่เต๋อฝูจนเขาตกใจถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ทำให้เขาเห็นชัดขึ้นว่าตรงนั้นมีโพรงอยู่

“ทูลฝ่าบาท ด้านหลังต้นไม้มีประตูหมาอยู่พ่ะย่ะค่ะ คล้ายว่าถูกปิดไว้”

“เช่นนั้นรึ” ดวงตาเรียวหงส์ของเย่จิ่งอวี้ยกขึ้น หรือโพรงนี้ไป๋เสวี่ยขุดขึ้นมาเอง

แต่ตอนนี้ด้านในถูกปิดเอาไว้แล้ว

ไป๋เสวี่ยตะกุยอย่างไรก็เปิดโพรงไม่ได้ จึงเห่าโฮ่งๆ ไม่หยุดนั้นเอง

...

ด้านในกำแพง

อินชิงเสวียนเพิ่งจะกล่อมเจ้าหมาน้อยที่เริ่มขี้โวยวายให้หลับไป หูนางพลันได้ยินเสียงหมาเห่า จึงรีบเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

อวิ๋นฉ่ายพูดเสียงเบาว่า “พระสนม น่าจะเป็นไป๋เสวี่ย ให้บ่าวไปปล่อยตัวมันเข้ามาดีหรือไม่”

อินชิงเสวียนส่งสัญญาณให้นางเงียบ เพราะในเสียงเห่าของเจ้าไป๋เสวี่ยคล้ายจะมีเสียงคนพูดอยู่ด้วย

นางเดินย่องไปถึงประตูสุนัข ได้ยินหลี่เต๋อฝูพูดว่า “ฝ่าบาท พวกเราเดินเข้าผ่านประตูหลักเถิด”

เย่จิ่งอวี้มา?

ตายแล้ว

เขามาหาสวรรค์วิมานอะไรล่ะเนี่ย

เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก

อินชิงเสวียนตกใจจนสีหน้าขาวโพลน กระวนกระวายจนเดินวนอยู่กับที่

อวิ๋นฉ่ายก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี นางดึงชายเสื้ออินชิงเสวียนแล้วกล่าว “พระสนม ทำอย่างไรดี ฮ่องเต้คงไม่เสด็จเข้ามาหรอกนะ”

อินชิงเสวียนดึงชุดขันทีที่แขวนตากไว้บนราวเชือก สวมใส่อย่างว่องไวในพริบตา แล้วนางพูดกับอวิ๋นฉ่ายว่า “ให้ยายหลี่ดูแลเจ้าหมาน้อยให้ดี อย่าให้เขาตื่นเด็ดขาด หากเย่จิ่งอวี้เดินเข้ามาจริง ให้ข้ารับมือเอง”

“เพคะ”

อวิ๋นฉ่ายตอบรับแล้วรีบวิ่นแจ้นเข้าเรือนไป

อินชิงเสวียนมาถึงหน้าประตูวังเย็นแล้ว หัวสมองแล่นคิด ต้องหาทางดึงความสนใจจากเขาไว้ให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามให้เย่จิ่งอวี้เข้ามาเด็ดขาด

อินชิงเสวียนได้ยินเสียงฝีเท้ายิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้ขึ้นมาแล้ว พลันนึกขึ้นได้ว่าในร้านค้าคะแนนสะสมมีหนังสือขาย เขาชอบอ่านหนังสือนี่ เอาหนังสือมาแลกกับเขาสักสองสามเล่ม ไม่แน่อาจหลอกล่อให้เขาจากไปได้

นางรีบเข้ามิติ หยิบหนังสือ ‘ตำราการเกษตร’ กับ ‘กลยุทธ์ระบบชลประทาน’ แล้วรีบวิ่งออกมาจากมิติ

เย่จิ่งอวี้มาถึงปากประตูแล้ว

พอเห็นปากประตูวังเย็นที่เก่าซอมซ่อ ทำให้เขาอดนึกถึงสตรีที่แต่งเข้าจวนรัชทายาทไม่ได้

ตอนนั้นอินซื่อกับเย่จิ่งเย่าความสัมพันธ์ดีมาก ฮ่องเต้องค์ก่อนก็ทรงเห็นดีเห็นงามด้วยจึงให้ทั้งคู่ได้ลงเอยกัน

อำนาจทางทหารของตระกูลอินสามารถช่วยเย่จิ่งเย่าให้ขึ้นสู่งบัลลังก์ได้ เรื่องนี้ใครๆ ต่างก็ทราบกันดี

ต่อมา เย่จิ่งเย่าเปลี่ยนมาตบแต่งกับเจียงซิ่วหนิง บุตรีของท่านโหวจากทางเหนือ ฮ่องเต้องค์ก่อนจึงได้พระราชทานอินชิงเสวียนให้กับตน

ที่ฮ่องเต้องค์กรกระทำเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะต้องการช่วยให้เขาขึ้นสู่บัลลังก์ แต่ต้องการใช้ตระกูลอินมาควบคุมตนไว้ต่างหาก...

เย่จิ่งอวี้หวนนึกถึงเรื่องราวต่างๆ เรียงตาหงส์หรี่เล็กลง สายตาเย็นชาขึ้น

และเมื่อถึงอินชิงเสวียนลอบวางยาตน จนทำให้ทั้งสองมีสัมพันธ์สวาท ความเย็นชาในแววตาเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย

“ฝ่าบาท จะให้เรียกคนมาเปิดประตูหรือไม่”

เย่จิ่งอวี้เก็บสายตา ตอนนี้เขาไม่มีความสนใจใดๆ แล้ว

“กลับกันเถอะ”

หลี่เต๋อฝูลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ยืนอยู่หน้าวังเย็นรู้สึกวังเวงไม่น้อย ลมเย็นคอยพัดเป็นระลอกน่าชวนขนหัวลุก จึงรีบตะโกนว่า “ฮ่องเต้เสด็จกลับตำหนัก”

อินชิงเสวียนยืนอยู่ตรงปากประตู นางได้ยินเสียงตะโกนชัดเจน ทันใดแข้งขาอ่อนแรงแทบจะนั่งกองลงกับพื้น

ตกใจหมดเลย!

หากให้เย่จิ่งอวี้เห็นเจ้าหมาน้อยแล้วล่ะก็ เขาจะต้องเกิดความสงสัยแน่นอน ไม่แน่อาจขุดคุ้ยตัวตนของนางขึ้นมาได้ พอนึกถึงตรงนี้ ขนหัวนางลุกซื่อ อินชิงเสวียนใจกล้าแค่ไหนตอนนี้ก็ตกใจกลัวไม่น้อย

ต้องหาทางหนีทีไล่ไว้ก่อนแล้ว หากไม่ไหวจริงๆ พรุ่งนี้ตอนออกวังต้องหากระดูกม้ามาเก็บไว้แล้ว คงตีเนียนได้ดีกว่ากระดูกแมว

อินชิงเสวียนตบอกแล้วเดินกลับเรือน อวิ๋นฉ่ายยืนหน้าซีดเผือดอยู่ปากประตู

“เจ้านาย ฮ่องเต้เขา...”

อินชิงเสวียนพ่นลมกล่าว “ไม่เป็นไรหรอก เขาไปแล้วล่ะ”

อวิ๋นฉ่ายรู้สึกขาทั้งสองข้างหมดแรง นั่งลงฮวบลงกับพื้น

“บ่าวตกใจหมดเลย”

ยายหลี่ก็รีบวิ่งออกมาก ถามเสียงเบาว่า “หมดเรื่องแล้วรึ”

อินชิงเสวียนนั่งบนแท่นหินหน้าประตู ตอบอืมแล้วพูดว่า “กลับเรือนไปพักผ่อนเถิด”

ยายหลี่ลังเลครู่หนึ่ง พูดว่า “เหตุใดฮ่องเต้จึงเสด็จมาวังเย็นนี่เล่า หรือเป็นผิดสังเกตอะไรขึ้นรึ”

“ไม่รู้สิ ไม่แน่อาจเป็นเพราะเสียงร้องไห้ของเจ้าหมาน้อยดึงดูดเขามา”

อินชิงเสวียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นบ้าอะไรขึ้นมา สรุปคือไปเสียได้ก็ดี จะเสียดายก็แต่คะแนน 4 คะแนนของนาง อุตส่าห์แลกหนังสือมาให้ตั้งสองเล่ม

แต่คิดดูอีกที บางทีนางอาจขายหนังสือสองเล่มนี้ให้เย่จิ่งอวี้ได้ อย่างไรเสียก็ต้องหาทางเอาเงินที่ถูกเขาหักไปคืนมาให้ได้

“ช่วงนี้องค์ชายน้อยยิ่งอยู่ยิ่งโมโหง่าย ขัดใจนิดขัดใจหน่อยก็จะร้องไห้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่นานคงต้องถูกคนพบเข้า หากพระสนมมีหนทาง รีบหาทางส่งองค์ชายน้อยออกวังไปเถิดเพคะ”

เสียงของยายหลี่ปลุกอินชิงเสวียนที่วาดฝันเส้นทางรวยสู่ชีวิตให้ตื่นขึ้น

“ไม่ได้ หากข้าพาเขาออกไป ก็จะไม่มีวิธีรับพวกเจ้าออกไปแล้ว ข้ายิ่งไม่สามารถปล่อยเจ้าหมาน้อยให้ผู้อื่นเลี้ยงดูแทน เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นกังวลกันไป วันรุ่งขึ้นข้าค่อยไปขอของเล่นแปลกใหม่จากท่านเซียนอาวุโสมาให้หมาน้อย ขอเพียงเขาไม่ร้องไห้ ก็จะไม่มีใครทราบได้”

ยายหลี่คิดๆ ดูก็เห็นด้วย นี่เป็นเชื้อพระวงศ์เชียวนะ จะให้ใครที่ไหนไม่รู้มาดูแลได้อย่างไร

“เอาเถิด พระสนมระมัดระวังตัวด้วย หากฝ่าบาทรู้ตัวตนจริงของท่านขึ้นมาจะต้องทรงพิโรธเป็นแน่แท้”

“ข้ารู้แล้ว”

การได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้งเดิมทีเป็นเรื่องดี แต่กลับถูกการมาถึงของเย่จิ่งอวี้ทำให้ตึงเครียดกันไปหมด อินชิงเสวียนที่นอนอยู่ในเปลพลิกตัวไปมา แต่นางเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้จะใจร้อนไม่ได้ วังหลวงกว้างใหญ่ไพศาลใช่ว่าใครใคร่เข้าก็เข้าใคร่ออกก็ออกได้เล่า รอให้ตัวเองออกไปด้านนอกได้สักหลายคราค่อยว่ากันเถอะ

...

วันต่อมา

นางล้างหน้าล้างตาแล้วกลับไปตำหนักเฉิงเทียน

เสี่ยวอานจื่อยังไม่ได้นอน ยืนสัปหงกรอนางอยู่ตรงหน้าประตู

พอเขาเห็นอินชิงเสวียนก็ดีใจใหญ่ วิ่งโร่เข้าหานาง

“อาจารย์ให้ข้าไปกับเจ้า สองท่านนี้เป็นองครักษ์ที่ฮ่องเต้ให้ไปกับข้า นามว่าฉินเฉิงกับหลี่ชี”

เสี่ยวอานจื่อแนะนำคนทั้งสองที่ปากประตูให้กับอินชิงเสวียน

อินชิงเสวียนรีบยกมือขึ้นคำนับทั้งสอง

“คารวะพี่องครักษ์ทั้งสอง”

ทั้งสองคำนับตอบ

“ไม่ต้องเกรงใจ หากเสี่ยวเสวียนจื่อกงกงไม่มีธุระอันใดอีก พวกเราก็ออกวังกันเถอะ”

ทั้งสี่คนมาถึงประตูจิ้งอานกลับเห็นคนผู้หนึ่งปล่อยผมสยายนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น นั่งนับนิ้วคำนวณอะไรอยู่

อินชิงเสวียนสะดุ้งโหยง คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมองอินชิงเสวียน

สายตาทั้งสี่ประสาน คนผู้นั้นชะงัก

คนผู้นี้อวบอิ่มอุดม โหงวเฮ้งดียิ่งนัก นี่มันลักษณะของสตรีร่ำรวยสูงส่งชัดๆ แล้วเหตุใดจึงเป็นขันทีได้...

อินชิงเสวียนรีบเดินอ้อมเขาไป

เสี่ยวอานจื่อพูดเสียงทุ้มต่ำ “นี่คือโหราจารย์เหลียงฟาง เห็นว่าเขาทำนายปริมาณน้ำฝนผิดไป ฮ่องเต้จึงลงโทษเขาคุกเข่าสามวัน...”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์