สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 74

ได้ยินดังนั้น อินชิงเสวียนรู้สึกผิดเล็กน้อย

ไม่ใช่ว่าท่านโหราจารย์ทำนายผิดหรอก แต่เป็นเพราะนางเปิดใช้น้ำพุวิญญาณให้เทน้ำฝนลงมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ

แม้ว่านางอยากทำเรื่องดีๆ เพื่อประชาชนบ้าง ให้มีฝนตกลงมาเยอะหน่อย แต่คะแนนสะสมน้อยเกินไปจริงๆ ทั้งหมดก็แค่สองสามร้อยคะแนน แถมยังต้องแลกด้วยของใช้จำเป็นไปอีกไม่น้อย หากได้สักหมื่นสักแสนคะแนน ตีให้ตายอินชิงเสวียนก็จะปล่อยให้ฝนตกในต้าโจวสามวันสามคืนไปเลย แต่ตอนนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว

โชคดีที่เย่จิ่งอวี้ก็ออกราชโองการให้ซ่อมแซ่มทางน้ำ ผันน้ำจากทางใต้ไปทางเหนือ หากภารกิจนี้สำเร็จ ต่อให้เกิดภัยแห้งแล้งขนานใหญ่ขึ้นอีก ก็คงไม่ย่ำแย่เท่าสถานการณ์ในปีนี้

พออินชิงเสวียนนึกถึงประชาชนข้างถนนที่สวมเสื้อผ้าไม่ครบชิ้น และพวกเด็กเล็กที่ผอมกะหร่องจนโตแต่หัว นางก็พอเข้าใจเย่จิ่งอวี้ที่เร่งรีบอยากให้เกษตรกรปลูกเมล็ดพันธุ์ให้ได้ไวๆ

ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน อาหารเป็นปัจจัยพื้นฐานในการต่อชีวิตของประชาชน มีเพียงให้พวกเขาได้กินอิ่มท้องก่อนเท่านั้น ถึงจะพูดเรื่องทำบ้านเมืองมั่งคั่งได้

นึกถึงตรงนี้ อินชิงเสวียนอดร้อนใจขึ้นมาไม่ได้

ตรงประตูวังหลวงมีม้าเตรียมไว้ให้พวกเขาสี่ตัว

ตอนที่อินชิงเสวียนยังเด็กเคยขี่ม้าที่คุณปู่เลี้ยงไว้จึงขึ้นขี่ได้ง่ายๆ ไม่เปลืองแรง

เสี่ยวอานจื่อยืนเกาหัวอยู่กับที่ พูดอย่างเขินอาย “ข้าขี่ม้าไม่เป็น เสี่ยวเสวียนจื่อ เจ้าพาข้าขี่ไปด้วยได้หรือไม่”

เมื่อนึกถึงภาพนั่งขี่ม้ากับบรุษ อินชิงเสวียนรู้สึกเขินแปลกๆ

“ข้าขี่ม้าไม่ค่อยชำนาญนัก เจ้าให้พี่องครักษ์พาเจ้าขี่ไปด้วยเถอะ”

หลี่ชีหัวเราะฮ่าฮ่า “ได้”

ว่าแล้วก็ยื่นมือไปทางเสี่ยวอานจื่อ ดึงเขาขึ้นหลังม้า ทันทีที่ควบตรงท้องม้า เจ้าม้าแสนสง่าก็พุ่งตัวออกไปประหนึ่งธนูที่พุ่งออกจากคันศร

อินชิงเสวียนรีบตามไป นางขี่ม้าได้ดีไม่แพ้ฉินเฉิงกับหลี่ชีเลย

องครักษ์ทั้งสองจะมากจะน้อยก็ดูถูกขันทีอยู่บ้าง แต่พอเห็นว่าอินชิงเสวียนแม้นจะมีหน้าตาหมดจด กลับไม่ได้อ้อนแอ้นเหมือนเสี่ยวอานจื่อ จึงรู้สึกดีต่อนางอยู่ไม่น้อย

ทั้งสี่คนไปถึงจิงเจียว ใต้เท้าหานสือเสนาบดีกรมพระคลังไปถึงตรงหน้างานแล้ว มีรถม้าตามอยู่ข้างๆ บนนั้นเต็มไปด้วยเมล็ดพันธุ์

ด้านข้างเขา ยังมีขุนนางสวมชุดราชการเต็มยศยืนอยู่ด้วย คนผู้นี้มีอายุประมาณห้าสิบปีเศษ หน้าขาวสะอาดไร้หนวดเครา ท่าทางสูงส่ง เป็นบิดาของลู่จิ้งเสียน ราชเลขาธิการลู่แห่งฝ่ายในนั่นเอง

อากาศร้อนเพียงนี้ ให้เขามาไร่นาเพื่อปลูกเมล็ดพันธุ์ แทบจะเป็นการปลิดเอาชีวิตคนแก่คนเฒ่าอย่างเขาไปเสียแล้ว แต่นี่เป็นคำสั่งของฮ่องเต้ เขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งไม่มา แถมยังต้องปั้นหน้าดีใจอีกด้วย

ในใจของลู่ทงเกลียดชังอย่างยิ่งยวด ขบฟันจนร่วงแทบหมดปากอยู่แล้ว

พอเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าบริเวณข้างคันนามีม้าอยู่สี่ตัว มีองครักษ์สองนายกับขันทีสองคนกำลังโดดลงจากหลังม้า จึงรีบวางมาดขุนนางชั้นสูงขึ้นมาทันที

มือไพล่หลังแล้วถามขึ้นว่า “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่กันรึ”

ฉินเฉิงสองมือประสานคารวะ “พวกข้าได้รับราชโองการจากฝ่าบาทให้มาคุ้มครองเสี่ยวเสวียนจื่อกงกงในการตรวจตราการหว่านเมล็ดขอรับ”

หานสือรู้จักอินชิงเสวียนอยู่แล้ว จึงเร่งฝีเท้ารีบมาหา

“ที่แท้เสี่ยวเสวียนจื่อกงกงมานี่เอง”

อินชิงเสวียนรีบก้มหัวทักทายว่า “ข้าน้อยคารวะใต้เท้าหาน”

หานสือหัวเราะเหอๆ “เสี่ยวเสวียนจื่อกงกงเกรงใจไปแล้ว ท่านผู้นี้คือใต้เท้าลู่ทง และเป็นบิดาของพระสนมเสียนผินเช่นกัน ครานี้ได้รับราชโองการจากฝ่าบาทให้มาหว่านเมล็ดพันธุ์พืช หากมีที่ใดที่บกพร่อง ขอเสี่ยวเสวียนจื่อกงกงชี้แนะด้วย”

ว่ากันว่านายประตูของจวนอัครมหาเสนาบดีก็นับว่าเป็นขุนนางระดับสาม แล้วขันทีที่รับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้มีความสำคัญน้อยได้อย่างไร แน่นอนว่าหานสือไม่กล้าล่วงเกินด้วย

อีกทั้งขันทีน้อยนี่ไม่ใช่คนไร้สมอง หากไม่ใช่เขาที่เสนอกองทัพไก่และเป็ดล่ะก็ ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาการระบาดของตั๊กแตนได้ และด้วยเหตุนี้เอง หานสือจึงมีภาพจำที่ไม่เลวต่ออินชิงเสวียน

แต่สีหน้าของลู่ทงกลับไม่น่ามองขึ้นมาทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์