สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 76

อินชิงเสวียนถือแตงโมเข้าห้องครัวใช้มีดตัดแบ่งเป็นหลายชิ้น แบ่งให้พวกเด็กๆ และฉินเทียนทั้งสามคน

ทุกคนล้วนไม่เคยเห็นแตงโมมาก่อน อดตะลึงไม่ได้

เสี่ยวอานจื่อถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “นี่คือ...”

“นี่คือแตงโมชองฮว๋าเซี่ย พวกเจ้ารีบชิมดูสิ ในบ้านเราเหลือไม่กี่ลูกแล้ว”

พอทุกคนลองชิมไปหนึ่งคำ ดวงตาแต่ละคนเบิกกว้าง เพียงรู้สึกถึงรสชาติหวานเย็นไหลจากลำคอลงไป คล้ายกับทั้งร่างสดชื่นขึ้นไม่น้อย

ซานชิงอายุน้อย กินไปหนึ่งคำก็อดถามขึ้นไม่ได้ “ท่านพ่อ ทำไมข้าไม่เคยเห็นมันในบ้านเรามาก่อนขอรับ”

ต้าฮวาลนลานรีบปิดปากซานชิง

“อย่าพูดไร้สาระ พวกเราออกไปกินนอกบ้าน”

อินชิงเสวียนเหลือบมองลูกสาวคนโตอย่างเห็นด้วย จากนั้นก็ยื่นแตงโมให้พวกเขา

ต้าฮวาใช้มือถือแตงโมไว้ เดินนำน้องชายทั้งสองคนไปยังกลางลานบ้าน

ทั้งสามคนในห้องไม่ได้คิดอะไรมาก ที่สำคัญคือพวกเขาเองก็เคยได้ยินชื่อแคว้นฮว๋าเซี่ย ที่นั่นจะมีผลไม้ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร

ฉินเทียนกินไปสองชิ้นแต่ก็ยังไม่หนำใจ เอ่ยขึ้นว่า “แตงโมนี้อร่อยมาก หากไม่ได้ตามเสี่ยวเสวียนจื่อมา จะไปกินแตงโมแสนอร่อยขนาดนี้ได้ที่ไหนกัน”

เสี่ยวอานจื่อหัวเราะแหะๆ “อาหารที่เสี่ยวเสวียนจื่อทำเป็นยังมีอีกมากมาย วันนี้นับว่าพวกเจ้ามีลาภปากแล้ว”

ระหว่างพูดคุย เหล่าหลิวไท่ไท่ซื้อน้ำมันหมูกลับมาแล้ว ทั้งยังซื้อผักหลายชนิดกลับมาด้วย

อินชิงเสวียนนำแตงโมครึ่งลูกที่เก็บไว้ออกมาให้นาง พูดด้วยความห่วงใยว่า “ออกไปข้างนอกร้อนแย่แล้ว รีบกินดับกระหายหน่อยเถอะ”

“ไม่ร้อนหรอก ข้าชินแล้ว”

เหล่าหลิวไท่ไท่กินไปหนึ่งคำและรู้สึกประหลาดใจเพราะเจ้าของสิ่งนี้มันอร่อยมาก จากนั้นก็หันไปมองเปลือกแตงโมและถามด้วยความแปลกใจ “เจ้าของสิ่งนี้หรือว่าจะเป็นแตงเขียวน้อยที่ข้าปลูกไว้ในสวน”

“เอ๋ แตงของเจ้าออกผลแล้ว?”

อินชิงเสวียนสงสัย

เหล่าหลิวไท่ไท่พานางมายังลานบ้าน เอาแตงโมงที่ตัวเองปลูกส่งให้อินชิงเสวียน

อินชิงเสวียนก้มตัวลงไปมอง สุดท้ายก็สัมผัสกับลูกแตงเขียวน้อยขนาดเท่ากำปั้น

นี่มันเร็วเกินไปแล้ว เวลาผ่านไปเพียงเจ็ดแปดวัน นึกไม่ถึงว่าแตงโมจะโตขนาดนี้แล้ว

“หรือว่าเจ้าใส่อะไรพิเศษให้กับเมล็ดพันธ์”

เหล่าหลิวไท่ไท่ส่ายหน้า

“ไม่มี แค่รดด้วยน้ำในบ้าน”

ทันใดนั้นก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ “ข้านึกออกแล้ว มีวันหนึ่งจู่ๆ ก็ฝนตกหนักอยู่หลายชั่วยาม กระทั่งวันที่สองแตงของข้าก็งอกออกมาแล้ว”

อินชิงเสวียนเข้าใจขึ้นมาทันใด คิดว่าเป็นผลมาจากฝนตกในวันนั้น

ทว่าไม่รู้ว่าขนาดพื้นที่ฝนตกนั้นกว้างมากน้อยเพียงใด หากสามารถตกไปทั่วแคว้นได้ หนึ่งร้อยคะแนนสะสมของนางนี้ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว

“ดูแลต้นอ่อนเหล่านี้ให้ดีเถอะ รอจนมันโตขนาดนี้ก็กินได้แล้ว กินไม่หมดก็เอาไปขาย ใช้เวลาไม่นาน เจ้าสิ่งนี้ก็จะลงหลักปักฐานอยู่ที่ต้าโจว ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องกลัวใครมาถามแหล่งที่มาจากเจ้าแล้ว”

หลิวเหล่าไท่ไท่พยักหน้าหงึกๆ

“วางใจเถอะ ข้าจะเฝ้าดูแลต้นอ่อนเหล่านี้ให้ดี น้ำมันหมูข้าซื้อกลับมาแล้ว ต้องผสมกับแป้งอย่างไร ทำเหมือนทำเส้นบะหมี่ได้ไหม”

“ข้าทำเอง แป้งชนิดนี้เหมาะกับการใช้น้ำเย็นครึ่งหนึ่งและน้ำร้อนครึ่งหนึ่งผสมกันที่สุด รสสัมผัสค่อนข้างนุ่ม”

อินชิงเสวียนม้วนแขนเสื้อ ตักแป้งมาหนึ่งกะละมัง

ใต้เท้าหานเป็นคนไม่เลว อินชิงเสวียนจึงเตรียมเอาไปให้เขาชิมสักหน่อย

เหล่าหลิวไท่ไท่มองดูอยู่ด้านข้าง จดจำขั้นตอนการทำแป้งของอินชิงเสวียนไว้ในใจ แป้งขึ้นฟูสักพักก็เริ่มแบ่งคลึงแป้งและทอดเปี๊ยะ เดิมทีหากใช้น้ำมันถั่วเหลืองจะดีกว่า เปี๊ยะที่ทอดอกมาจะมีสีเหลืองทอง แต่ขวดบรรจุน้ำมันถั่วเหลืองนั้นน่ะสิ คงยากจะอธิบายให้ผู้คนในยุคนี้เข้าใจได้ อินชิงเสวียนก็ไม่อยากเปลืองแรง เลยใช้น้ำมันหมูทอดเสียเลย

ไม่ถึงชั่วครู่กลิ่นหอมของเปี๊ยะก็ลอยออกมาจากในบ้าน เสี่ยวอานจื่อนั่งไม่ติดกับที่แล้ว

“ถูกต้อง มันคือกลิ่นนี้แหละ”

ฉินเทียนและหลี่ชีไม่เคยกินเปี๊ยะมาก่อน อดสูดดมไม่ได้ หอมมากจริงๆ

อินชิงเสวียนใช้ผักที่หลิวเหล่าไท่ไท่ซื้อกลับมาทำน้ำซุปผัก ยกมาตั้งบนโต๊ะ ทุกคนต่างกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะกินเอามากๆ ทว่าเกรงใจไม่กล้ายื่นมือหยิบ

“รีบกินเถอะ ยังจะเกรงใจอะไร อีกเดี๋ยวพวกเราต้องกลับไปอีก”

เสี่ยวอานจื่อทนไม่ไหวตั้งนานแล้ว ยื่นมือไปหยิบเปี๊ยะแผ่นหนึ่ง

คนอื่นก็ไม่เกรงใจแล้วเช่นกัน หยิบขึ้นมาเริ่มกินกันทันที

อินชิงเสวียนทอดเปี๊ยะทั้งหมดห้าสิบกว่าแผ่น เพียงชั่วพริบตาจานก็ว่างเปล่า ยังดีที่อินชิงเสวียนเก็บไว้แล้วห้าแผ่น หากหยิบออกมาด้วย คิดว่าคงไม่เหลือแน่ๆ

ทุกคนกินกันจนหนังท้องตึง ฉินเทียนและหลี่ชีรู้สึกซาบซึ้งใจ โชคดีที่ฝ่าบาทมอบหมายงานครั้งนี้ให้เขาสองคน ไม่เช่นนั้นจะไปกินของอร่อยขนาดนี้ได้ที่ไหนอีก

เหล่าหลิวไท่ไท่กินไปสองสามแผ่น มองดูริมฝีปากเด็กๆ มีแต่คราบน้ำมัน แต่ละคนท้องกลมป่อง ความรู้สึกขอบคุณที่มีต่ออินชิงเสวียนยิ่งมากขึ้นอีกหลายส่วน

อินชิงเสวียนนำเปี๊ยะที่เก็บไว้ห่อด้วยกระดาษเหลืองเสร็จแล้ว ทุกคนออกจากบ้านเหล่าหลิวไท่ไท่

ก่อนออกเดินทางก็เป็นการลาจากที่ยากจะพบกันอีก เด็กๆ ดึงแขนเสื้ออินชิงเสวียนไม่ปล่อย ร่ำไห้อ้อนวอนไม่ให้พ่อไป

เหล่าหลิวไท่ไท่ดวงตาทั้งสองแดงก่ำ หากตนมีลูกชายเป็นอินชิงเสวียนจริงสักคนก็คงดี เฮ้อ!

ออกจากบ้านเหล่าหลิวไท่ไท่ ฉินเทียนและหลี่ชีอดทอดถอนใจไม่ได้

“น้องเสี่ยวเสวียนจื่อ เจ้าไม่ง่ายเลยจริงๆ”

“ใช่ คิดไม่ถึงว่าน้องเสี่ยวเสวียนจื่ออายุไม่มาก กลับมีลูกโตขนาดนี้ตั้งสามคน”

เสี่ยวอานจื่นถอนหายใจ “ไม่ง่ายเลยจริงๆ”

อินชิงเสวียนกระแอม “ไม่เป็นไรหรอก ข้าน้อยร่างกายพิการแต่ปณิธานเด็ดเดี่ยว ชีวิตนี้ขอเพียงได้ปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาท แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!”

ทั้งสามหันไปมองอินชิงเสวียน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส

คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวเสวียนจะภักดีต่อฝ่าบาทเช่นนี้ พวกเขาละอายใจที่ตนสู้เขาไม่ได้เลยจริงๆ

อินชิงเสวียนถูกทั้งสามคนจ้องมองจนกระอักกระอ่วนจึงไอแห้งๆ และพูดขึ้น “เลยเที่ยงแล้ว รีบเดินทางเถอะ”

ทุกคนเร่งเดินทางมาถึงยังชานเมืองจิงเจียว

ใต้เท้าหานและคนอื่นนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ส่วนลู่ทงนั่งไม่พอใจอยู่อีกด้านหนึ่ง มีเด็กรับใช้สองคนกำลังพัดวี นวดไหล่ให้เขา

ได้ยินเสียงกีบม้า ลู่ทงเหลือบมองแล้วนอนลงอีกครั้ง ในเมื่อชาวนาไม่ขยับ เขาเองก็ไม่ขยับเช่นกัน

อินชิงเสวียนลงจากม้า

“ใต้เท้าหาน ท่านกินข้าวหรือยังขอรับ”

หานสือหัวเราะเหอะๆ “ทำให้เสี่ยวกงกงเป็นห่วงแล้ว ข้ากินแล้ว”

“ดูเหมือนข้าจะกลับมาช้าไป”

อินชิงเสวียนหยิบเปี๊ยะออกมาจากหน้าอกแล้วส่งให้ใต้เท้าหาน

“นี่คือเปี๊ยะมันหมูที่ข้าทำมาจากบ้าน หากใต้เท้าหานไม่รังเกียจก็นำไปกินเถอะ!”

กลิ่นหอมกรุ่นลอยออกมาจากห่อกระดาษ หานสืออดกลืนน้ำลายไม่ได้ รับมาอย่างไม่รู้ตัว

“นี่คือสิ่งใด เหตุใดจึงหอมขนาดนี้”

อินชิงเสวียนยิ้มพูดว่า “นี่คือเปี๊ยะมันหมูที่ทำมาจากแป้งที่ผลิตจากข้าวสาลี”

หานสือหยิบเปี๊ยะขึ้นมาหนึ่งแผ่น เดิมคิดจะเอามาดู ทว่าอดไม่ไหวจึงกัดไปคำหนึ่ง รู้สึกถึงความหอมแฝงด้วยรสเค็ม นุ่มลิ้นแต่รสชาติเข้มข้น เป็นความอร่อยที่อธิบายไม่ถูก

เขาอดลุกขึ้นด้วยความตื้นตันใจไม่ได้ พูดด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “นึกไม่ถึงว่าเมล็ดข้าวสาลีจะสามารถทำอาหารอร่อยขนาดนี้ออกมาได้ ราษฎรของต้าโจวเรามีโชควาสนาแล้ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์