อินชิงเสวียนพูดยิ้มแย้ม “วิธีการทำอาหารจากแป้งยังมีอีกมากมาย สามารถนึ่งเป็นซาลาเปา ห่อเกี๊ยว ทำเส้นบะหมี่ รอให้ข้าวสาลีสุก ข้าจะออกตำราเรียน สอนประชากรต้าโจวทำอาหารจากแป้ง”
หานสือพยักหน้าหงึกๆ “เช่นนั้นก็ดีเสียจริง”
ระหว่างพูดคุยก็กินเปี๊ยะหมดไปหนึ่งแผ่น เขาห่อที่เหลือในกระดาษอย่างระมัดระวัง เก็บซ่อนไว้ในอกเสื้อ เตรียมนำกลับไปให้ภรรยาและลูกชาย
ลู่ทงหันหน้ามา เห็นหานสือรับของจากมืออินชิงเสวียนแล้วเก็บไว้ในหน้าอก เขาอดแค่นหัวเราะไม่ได้ คิดว่าขันทีน้อยคนนี้กำลังติดสินบนหานสือ พรุ่งนี้เขามีฎีกาให้ถวายแล้ว
ชั่วพริบตา ดวงอาทิตย์เคลื่อนย้ายไปทางตะวันตก ชาวนาลุกขึ้นมาหว่านเมล็ดพันธุ์
หานสือตะโกนจากที่ไกลๆ “ใต้เท้าลู่ รีบลุกขึ้นเถอะ ทำงานเสร็จเร็วก็กลับบ้านเร็ว”
ลู่ทงทำเสียงฮึดฮัดลุกขึ้นจากพื้น เด็กรับใช้สองคนตามข้าหลังเขาด้วยความกระตือรือร้น ทำงานกันจนดวงอาทิตย์ตกดิน หานสือถึงให้ทุกคนเลิกงานพักผ่อน
“หมดวันแล้ว เสี่ยวเสวียนจื่อกงกงรีบกลับไปเถอะ”
อินชิงเสวียนประสานมือคารวะ
“ใต้เท้าหานทำงานหนักมาทั้งวันก็พักผ่อนเถอะ พวกเรากลับวังไปรายงานผลปฏิบัติงาน”
หานสือหัวเราะเหอะๆ “ได้ หากมีวาสนาพวกเราค่อยพบกันอีก ขนมเปี๊ยะนี่ข้าไม่เกรงใจแล้ว”
ทุกคนบอกลาใต้เท้าหานแล้วขี่ม้ากลับวัง
เมื่อมาถึงประตูจิ้งอาน โหราจารย์ยังคงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น อินชิงเสวียนรู้สึกทนไม่ได้
เป็นเพราะนางไม่ระวังปล่อยน้ำพุวิญญาณออกมา ทำให้เกิดฝนตกหนัก ก็ไม่ควรปล่อยให้คนอื่นมารับเคราะห์แทนตน
ทั้งสี่คนมาถึงยังตำหนักเฉิงเทียน เย่จิ่งอวี้กำลังดูตำราอยู่ภายในห้อง ในตำหนักแสงไฟสว่างไสว
หลี่เต๋อฝูได้รับรายงานจึงเดินเข้าประตูแล้วพูด “ฝ่าบาท เสี่ยวเสวียนจื่อกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้วางตำราม้วนไม้ไผ่ ขมวดคิ้วพูดว่า “ให้เขาเข้ามา”
ครู่ต่อมา ทั้งสี่คนเดินเข้ามาด้านใน คุกเข่าถวายบังคม
“กระหม่อมถวายบังคม ฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี!”
“ลุกขึ้นเถอะ”
เย่จิ่งอวี้พิงพนักเก้าอี้ ค่อยๆ ผ่อนคลายความรู้สึกเกร็งไหล่และคอ
“ภารกิจเป็นเช่นไร”
อินชิงเสวียนกราบทูล “หว่านเมล็ดพันธุ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างราบรื่นพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้ขานรับ พูดกับฉินเฉิงและหลี่ชี “พวกเจ้าสองคนออกไปก่อนเถอะ”
ทั้งสองคนโค้งคำนับแล้วถอยออกมา เย่จิ่งอวี้มองอินชิงเสวียนอีกครั้ง
เวลาเพียงแค่หนึ่งวัน ใบหน้าของอินชิงเสวียนถูกแดดเผาจนแดงก่ำ ริมฝีปากลอกเป็นชั้น
เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“พวกเจ้าก็กลับไปเถอะ คืนนี้ไม่ต้องเฝ้ายามแล้ว”
เสี่ยวอานจื่อพูดด้วยความดีใจ “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
อินชิงเสวียนลังเลชั่วครู่จึงพูดขึ้น “ตอนที่กระหม่อมออกจากวังจิ้งอาน เห็นว่ามีผู้หนึ่งคุกเข่าหน้าประตูวัง ได้ยินเสี่ยวอานจื่อบอกว่าเป็นเป็นใต้เท้าโหราจารย์”
ดวงตาเย่จิ่งอวี้เข้มขึ้นหลายส่วน “เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่”
อินชิงเสวียนกระแอม “กระหม่อมคิดว่าใต้เท้าคุกเข่าทั้งวันก็พอสมควรแล้ว กระหม่อมจึงอยากขอร้องแทนเขา”
ดวงตาเย่จิ่งอวี้หรี่ลง ถามอย่างมีความนัย “เจ้ามีความสัมพันธ์ใดกับโหราจารย์”
อินชิงเสวียนพูดด้วยความลนลาน “กระหม่อมมิได้รู้จักใต้เท้าโหราจารย์ เพียงรู้สึกว่าอากาศร้อนจัด หากใต้เท้าร้อนจนสลบไปจะกระทบต่อพระราชกิจของฝ่าบาท”
เย่จิ่งอวี้ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ เห็นแก่ที่ปกติการคำนวณของเขาค่อนข้างแม่นยำ ข้าก็จะไม่ถือสาหาความเขาแล้ว หลี่เต๋อฝู ถ่ายทอดคำสั่งให้โหราจารย์กลับไปเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เต๋อฝูรับราชโองการฝ่าบาท เดินไปยังประตูจิ้งอาน
โหราจารย์อดตื่นตระหนกไม่ได้
“หลี่กงกง ฝ่าบาททรงตัดสินลงอาญาแล้วใช่หรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...