สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 78

อินชิงเสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และตอนนี้เองเสี่ยวอานจื่อก็กลับมาจากข้างนอกแล้ว

“มีเรื่องอันใดรึ”

เสี่ยวอานจื่อกล่าวเสียงแหลมว่า “ไม่มีอะไร พวกเขาแค่คันไม้คันมืออยากลองเล่นสักตาสองตา แต่ข้าไม่เห็นด้วย เงินข้ายังต้องเก็บไว้ใช้ในยามแก่เฒ่านะ”

อินชิงเสวียนทำเสียงจิ๊เย้ยหยัน เป็นถึงขุนนางของฮ่องเต้ แต่กลับกล้าเล่นพนันเช่นนี้ พวกขันทีน้อยเหล่านี้ช่างใจกล้ายิ่งนัก

“คนที่มาหาเจ้าเมื่อครู่เป็นใครน่ะ”

เสี่ยวอานจื่อทิ้งตัวลงบนเตียง กล่าวด้วยสีหน้าเพลิดเพลินว่า “เขาชื่อเสี่ยวฮว๋ายจื่อ เห็นเขาอายุยังน้อยเช่นนั้น แต่เขาก็เป็นคนเก่าแก่ในจวนรัชทายาทนะ”

อินชิงเสวียนได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึงเล็กน้อย หากเสี่ยวฮว๋ายจื่อผู้นั้นเป็นคนเก่าแก่ในจวนรัชทายาท นั่นก็หมายความว่าเย่จิ่งเย่าได้ซื้อตัวคนข้างกายของเย่จิ่วอวี้มาตั้งนานแล้วเช่นนั้นหรือ

หรือไม่ เขาก็เป็นหนอนบ่อนไส้ของเย่จิ่งเย่า

ความสัมพันธ์ในวังหลวงนั้นช่างซับซ้อนยิ่งนัก

ในขณะเดียวกันก็ค่อนข้างกลัดกลุ้มใจเช่นกัน หากเขาเป็นคนเก่าแก่จริง เหตุใดถึงไม่ติดตามหลี่เต๋อฝูล่ะ

“เมื่อก่อนเจ้าเองก็อยู่ในจวนรัชทายาทล่ะสิ ไม่เช่นนั้นหัวหน้าหลี่ก็คงไม่เลือกเจ้าเป็นลูกศิษย์?”

เสี่ยวอานจื่อยิ้มอย่างลำพองใจ พลางเอ่ยปากกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านอาจารย์ของข้าบอกว่าเจ้าเสี่ยวฮว๋ายจื่อนั่นไม่ค่อยได้เรื่องเท่าใดนัก ไม่ได้ดูเป็นคนซื่อตรงเหมือนอย่างข้า ปกติแล้วท่านอาจารย์แค่ให้เขาปัดกวาดทำความสะอาดลานบ้าน แล้วก็ทำเรื่องจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”

อินชิงเสวียนได้ยินเช่นนี้ก็ส่งเสียงอ๋อตอบรับ

“เช่นนั้นเจ้าก็ตั้งใจทำงานให้ดีล่ะ อย่าทำให้อาจารย์เจ้าผิดหวัง”

ทว่า ในใจกลับกำลังครุ่นคิดอยู่ หรือว่าหลี่เต๋อฝูกับเย่จิ่งอวี้จะค้นพบอะไรบางอย่างถึงได้ปรับเปลี่ยนเช่นนี้

แต่หากเป็นเช่นนี้จริง เหตุใดถึงไม่กำจัดเขาไปตั้งแต่แรกล่ะ

คนในวังล้วนแต่ฉลาดหลักแหลมทั้งสิ้น ศึกในวังเช่นนี้ ไม่เหมาะสมกับคนกระจอกงอกง่อยเช่นนางเอาเสียเลย

อินชิงเสวียนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าในวังนั้นน่ากลัวยิ่งนัก ต้องรีบคิดหาทางและวางแผนหนีให้เร็วที่สุด

นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าที่พอกไว้ก็แห้งพอประมาณหนึ่งแล้ว ต่อมาผิวพรรณก็ฟื้นฟูกลับมาขาวผ่องเฉกเช่นดังเดิม ขาวผ่องละเอียดดุจดั่งหยกหิมะจนเสี่ยวอานจื่อเห็นแล้วก้รู้สึกอิจฉายิ่งนัก

“เสี่ยวเสวียนจื่อ ผิวหน้าของเจ้าช่างขาวผ่องยิ่งนัก หากเป็นสตรีคงถูกจับไปเป็นสนมในวังแล้วเป็นแน่”

อินชิงเสวียนได้ยินเช่นนี้ก็กรอกตามองบนขึ้น

“จะพูดว่า ‘หาก’ ทำไมเยอะแยะ ข้ามีลูกสามคนแล้วนะ”

เสี่ยวอานจื่อกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ก็จริง แล้วเมียของเจ้าล่ะ ข้าไปหลายครั้งก็ไม่เคยเจอสักครั้ง”

อินชิงเสวียนกลัวเขาจะถามมากความจึงหันหน้าเข้าหากำแพง พลางทำท่าทางเจ็บปวดใจ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เลิกรากันไปตั้งนานแล้ว เฮ้อ ในเมื่อตัดเจ้าโลกไปแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะมีเมียได้อีกเลย”

เสี่ยวอานจื่อตระหนักได้ถึงคำพูดตัวเองจึงรีบกล่าวออกมาว่า “เสี่ยวเสวียนจื่อเจ้าอย่าได้เสียอกเสียใจไปเลย ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น...เอาล่ะ...เจ้ารีบพักผ่อนแถอะ”

“อืม...”

อินชิงเสวียนตอบรับ และไม่ได้สนใจเขาแต่อย่างใด

ช่วงนี้อยู่รับใช้ปรนนิบัติเย่จิ่งอวี้ทุกวัน นอนดึกจนชินแล้ว จู่ๆ จะให้นอนเร็ว ยังปรับตัวไม่ได้จริงๆ

ไม่นานนักเสียงกรนของเสี่ยวอานจื่อก็ดังขึ้น รบกวนจนอินชิงเสวียนนอนไม่หลับนางจึงลุกขึ้นนั่ง

อินชิงเสวียนสัมผัสได้ถึงความแข็งตรงหน้าอกจึงเอามือลูบไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตำราสองเล่มที่แลกมาให้เย่จิ่งอวี้ยังอยู่ที่ตนเอง เช่นนี้มิสู้ฉวยโอกาสเอาไปให้เขาตอนนี้ แล้วเอ่ยปากขอป้ายทองอภัยโทษจากเขาเสียเลย

อินชิงเสวียนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีทางเป็นไปได้ นางจึงเปิดประตูออกไปมุ่งตรงไปยังตำหนักกลาง

แสงไฟด้านในยังสว่างอยู่จริงๆ ด้วย เห็นเพียงเงาของเย่จิ่งอวี้สะท้อนที่หน้าต่างอย่างเลือนราง ในมือคล้ายกับกำลังถืออะไรบางอย่างอยู่ ไม่ต้องถามก็พอจะรู้ว่าของสิ่งนั้นเป็นตำรา

ในเมื่อนึกได้เช่นนี้ อินชิงเสวียนจึงยิ้มมุมปากเล็กน้อย เมื่อเดินมาถึงประตูก็ได้พบกับหลี่เต๋อฝูที่เดินออกมาจากด้านในพอดี

“ฝ่าบาททรงอนุญาตให้เจ้ากลับไปพักผ่อนได้แล้วไม่ใช่หรือเจ้ามาทำไมอีก”

หลี่เต๋อฝูยกมือขึ้นทำนิ้วกรีดกรายและจิ้มหน้าผากอินชิงเสวียนไปครั้งหนึ่ง

“เอ่อ...จู่ๆ ข้าก็นึกเรื่องบางอย่างออก ก็เลยจะกลับมากราบทูลฝ่าบาทขอรับ”

“เรื่องอันใด” หลี่เต๋อฝูกล่าวถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะดีนัก”

อินชิงเสวียนส่งเสียงตะโกนไปยังด้านในเสียงดังว่า “ข้าอยากกราบทูลต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทโดยตรง”

ในขณะนั้นเอง เสียงต่ำแต่ทรงพลังของเย่จิ่งอวี้ก็ดังออกมาจากด้านใน

“ให้เขาเข้ามาเถอะ”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

อินชิงเสวียนย่างเท้าเดินเข้าไปในตำหนักด้วยสีหน้าประจบสอพลอ

เย่จิ่งอวี้เอนกายพิงตั่งฟูกนุ่ม นิ้วมืออันเรียวยาวนั้นถือตำราม้วนไม้ไผ่อยู่

เขาในตอนนี้ถอดเสื้อคลุมมังกรออกแล้ว สวมเพียงชุดคลุมตัวกลางสีขาวหิมะเท่านั้น คงเป็นเพราะอากาศร้อนอบอ้าวเกินไป เขาจึงไม่ได้รัดเชือกรัดเอวแน่นนัก ชุดคลุมยาวที่ถูกสวมอย่างหลวมๆ บนตัวเขาจึงเผยให้เห็นกล้ามเนื้อภายใต้ร่มผ้านั้นเป็นครั้งคราว

เมื่อเห็นอินชิงเสวียน เยี่ยจิ่งอวี้จึงวางตำราม้วนไผ่ในมือลง กล่าวถามอย่างราบเรียบว่า “เจ้ามาหาเรามีเรื่องอันใด”

อินชิงเสวียนรีบเอาตำราสองเล่มนั้นออกมาจากหน้าอก

กล่าวด้วยสีหน้าประจบสอพลอว่า “วันนี้กระหม่อมกลับไปบ้าน ค้นพบตำราสองเล่มนี้ในบ้าน กระหม่อมคิดว่าบางทีมันอาจจะมีประโยชน์ต่อฝ่าบาท จึงนำมาถวายแด่ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้โน้มตัวไปข้างหน้า

“เอามาให้ข้าดูซิ”

การเคลื่อนไหวที่มากเกินไปทำให้ชุดคลุมที่กองอยู่บริเวณหน้าท้องเย่จิ่งอวี้ห้อยลงมา กล้ามเนื้อหน้าแผ่นใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าอินชิงเสวียนอย่างมิอาจบดบังได้

สีหน้าอินชิงเสวียนแดงขึ้นเล็กน้อย นางรีบก้มหน้าต่ำลง และยื่นตำราให้กับเย่จิ่งอวี้

“กระหม่อมยังมีเรื่องอยากทูลขอความเห็นใจจากฝ่าบาท หวังว่าฝ่าบาทจะทรงยินยอมพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้รับตำรามา และอดที่จะประหลาดใจไม่ได้

วัสดุของตำรานี้ช่างพิเศษยิ่งนัก เบา อีกทั้งยังขาวสะอาดหมดจด มีเนื้อสัมผัสที่ดีมาก เหมือนกับแผ่นภาพที่อินชิงเสวียนให้เขาเมื่อครั้งก่อนมาก แต่กลับละเอียดและถ้วนถี่กว่าแผ่นภาพนั้นมาก

และเมื่อดูชื่อตำรา เขาเลิกคิ้วขึ้นพลางอ่านเสียงเบาออกมาว่า “ตำราการเกษตร” “กลยุทธ์ระบบชลประทาน”

“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าตำราสองเล่มนี้อาจจะมีประโยชน์ต่อฝ่าบาท เลยนำมาทูลถวายให้แก่ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เรื่องของกระหม่อม...”

สายตาของเย่จิ่งอวี้ยังคงจดจ้องอยู่บนตำรานั้น มิน่าล่ะ เหตุใดขันทีน้อยผู้นี้ถึงได้เข้าใจเรื่องราวมากมายนัก ที่แท้ก็เป็นเพราะอ่านตำราเหล่านี้นี่เอง

“เจ้ามีเรื่องอันใด ว่ามาเถอะ ข้าจะไม่กล่าวโทษเจ้า”

อินชิงเสวียนไอแห้งๆ ออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “กระหม่อมอยากกราบทูลขอป้ายทองอภัยโทษจากฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หากวันหนึ่งกระหม่อมไม่ทันระวังกระทำความผิดไปอาจต้องใช้ ฝ่าบาทได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมสักครั้งพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้หันมองนางพลางกล่าวถามว่า “หรือว่าเจ้าจะทำผิดต่อข้าแล้วเช่นนั้นหรือ”

อินชิงเสวียนรีบกล่าว “กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงคิดว่าตนเองโง่เขลาเบาปัญญา กลัวว่าหากทำผิดอันใดไป หรือหากทำสิ่งใดให้ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัย กระหม่อมจะไม่มีแม้แต่โอกาสจะแก้ไขพ่ะย่ะค่ะ”

สายตาของเย่จิ่งอวี้กวาดมองใบหน้าอินชิงเสวียน ดวงตาชั้นเดียวคู่นั้นค่อยๆ หรี่แคบลง นัยย์ตามองขึ้นลงทำให้ยากที่จะรู้ได้ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาคิดสิ่งใดอยู่

ชั่วครู่หนึ่งเขาก็กล่าวอย่างราบเรียบว่า “ขอเพียงแค่ป้ายทองประจำพระองค์ของเจ้าไม่หายไปไหน เราจะไว้ชีวิตเจ้าหนึ่งครั้ง”

ที่แท้ป้ายทองประจำพระองค์ก็สามารถใช้ได้ด้วย มิน่าล่ะว่าเหตุใดเสี่ยวอานจื่อถึงตกใจมากตอนที่รู้ว่านางมีป้ายนั่น

อินชิงเสวียนกล่าวด้วยความดีใจและตื่นเต้นว่า “กราบขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสัญญาว่าจะรักษามันเอาไว้ให้ดี”

เย่จิ่งอวี้โบกมือพลางกล่าว “ลุกขึ้นเถอะ”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวทูลลา”

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เย่จิ่งอวี้เปลี่ยนใจและเพื่อให้ตนเองดำรงตำแหน่งนี้เอาไว้ อินชิงเย่จึงรีบขอตัวทูลลา

ทันทีที่นางย่างเท้าเดินออกไป เงาร่างร่างหนึ่งก็พุ่งลงมาจากบนหลังคาอย่างไร้สุ้มไร้เสียง

เย่จิ่งอวี้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นแต่อย่างใด เพียงแต่กล่าวถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ได้เรื่องคืบหน้าอย่างไรบ้าง”

คนผู้นั้นนั่งคุกเข่าข้างเดียว กล่าวเสียงต่ำว่า “คนของอันผิงอ๋องติดต่อเสี่ยวฮว๋ายจื่อแล้วพ่ะย่ะค่ะ...”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์