อินชิงเสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และตอนนี้เองเสี่ยวอานจื่อก็กลับมาจากข้างนอกแล้ว
“มีเรื่องอันใดรึ”
เสี่ยวอานจื่อกล่าวเสียงแหลมว่า “ไม่มีอะไร พวกเขาแค่คันไม้คันมืออยากลองเล่นสักตาสองตา แต่ข้าไม่เห็นด้วย เงินข้ายังต้องเก็บไว้ใช้ในยามแก่เฒ่านะ”
อินชิงเสวียนทำเสียงจิ๊เย้ยหยัน เป็นถึงขุนนางของฮ่องเต้ แต่กลับกล้าเล่นพนันเช่นนี้ พวกขันทีน้อยเหล่านี้ช่างใจกล้ายิ่งนัก
“คนที่มาหาเจ้าเมื่อครู่เป็นใครน่ะ”
เสี่ยวอานจื่อทิ้งตัวลงบนเตียง กล่าวด้วยสีหน้าเพลิดเพลินว่า “เขาชื่อเสี่ยวฮว๋ายจื่อ เห็นเขาอายุยังน้อยเช่นนั้น แต่เขาก็เป็นคนเก่าแก่ในจวนรัชทายาทนะ”
อินชิงเสวียนได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึงเล็กน้อย หากเสี่ยวฮว๋ายจื่อผู้นั้นเป็นคนเก่าแก่ในจวนรัชทายาท นั่นก็หมายความว่าเย่จิ่งเย่าได้ซื้อตัวคนข้างกายของเย่จิ่วอวี้มาตั้งนานแล้วเช่นนั้นหรือ
หรือไม่ เขาก็เป็นหนอนบ่อนไส้ของเย่จิ่งเย่า
ความสัมพันธ์ในวังหลวงนั้นช่างซับซ้อนยิ่งนัก
ในขณะเดียวกันก็ค่อนข้างกลัดกลุ้มใจเช่นกัน หากเขาเป็นคนเก่าแก่จริง เหตุใดถึงไม่ติดตามหลี่เต๋อฝูล่ะ
“เมื่อก่อนเจ้าเองก็อยู่ในจวนรัชทายาทล่ะสิ ไม่เช่นนั้นหัวหน้าหลี่ก็คงไม่เลือกเจ้าเป็นลูกศิษย์?”
เสี่ยวอานจื่อยิ้มอย่างลำพองใจ พลางเอ่ยปากกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านอาจารย์ของข้าบอกว่าเจ้าเสี่ยวฮว๋ายจื่อนั่นไม่ค่อยได้เรื่องเท่าใดนัก ไม่ได้ดูเป็นคนซื่อตรงเหมือนอย่างข้า ปกติแล้วท่านอาจารย์แค่ให้เขาปัดกวาดทำความสะอาดลานบ้าน แล้วก็ทำเรื่องจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”
อินชิงเสวียนได้ยินเช่นนี้ก็ส่งเสียงอ๋อตอบรับ
“เช่นนั้นเจ้าก็ตั้งใจทำงานให้ดีล่ะ อย่าทำให้อาจารย์เจ้าผิดหวัง”
ทว่า ในใจกลับกำลังครุ่นคิดอยู่ หรือว่าหลี่เต๋อฝูกับเย่จิ่งอวี้จะค้นพบอะไรบางอย่างถึงได้ปรับเปลี่ยนเช่นนี้
แต่หากเป็นเช่นนี้จริง เหตุใดถึงไม่กำจัดเขาไปตั้งแต่แรกล่ะ
คนในวังล้วนแต่ฉลาดหลักแหลมทั้งสิ้น ศึกในวังเช่นนี้ ไม่เหมาะสมกับคนกระจอกงอกง่อยเช่นนางเอาเสียเลย
อินชิงเสวียนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าในวังนั้นน่ากลัวยิ่งนัก ต้องรีบคิดหาทางและวางแผนหนีให้เร็วที่สุด
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าที่พอกไว้ก็แห้งพอประมาณหนึ่งแล้ว ต่อมาผิวพรรณก็ฟื้นฟูกลับมาขาวผ่องเฉกเช่นดังเดิม ขาวผ่องละเอียดดุจดั่งหยกหิมะจนเสี่ยวอานจื่อเห็นแล้วก้รู้สึกอิจฉายิ่งนัก
“เสี่ยวเสวียนจื่อ ผิวหน้าของเจ้าช่างขาวผ่องยิ่งนัก หากเป็นสตรีคงถูกจับไปเป็นสนมในวังแล้วเป็นแน่”
อินชิงเสวียนได้ยินเช่นนี้ก็กรอกตามองบนขึ้น
“จะพูดว่า ‘หาก’ ทำไมเยอะแยะ ข้ามีลูกสามคนแล้วนะ”
เสี่ยวอานจื่อกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ก็จริง แล้วเมียของเจ้าล่ะ ข้าไปหลายครั้งก็ไม่เคยเจอสักครั้ง”
อินชิงเสวียนกลัวเขาจะถามมากความจึงหันหน้าเข้าหากำแพง พลางทำท่าทางเจ็บปวดใจ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เลิกรากันไปตั้งนานแล้ว เฮ้อ ในเมื่อตัดเจ้าโลกไปแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะมีเมียได้อีกเลย”
เสี่ยวอานจื่อตระหนักได้ถึงคำพูดตัวเองจึงรีบกล่าวออกมาว่า “เสี่ยวเสวียนจื่อเจ้าอย่าได้เสียอกเสียใจไปเลย ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น...เอาล่ะ...เจ้ารีบพักผ่อนแถอะ”
“อืม...”
อินชิงเสวียนตอบรับ และไม่ได้สนใจเขาแต่อย่างใด
ช่วงนี้อยู่รับใช้ปรนนิบัติเย่จิ่งอวี้ทุกวัน นอนดึกจนชินแล้ว จู่ๆ จะให้นอนเร็ว ยังปรับตัวไม่ได้จริงๆ
ไม่นานนักเสียงกรนของเสี่ยวอานจื่อก็ดังขึ้น รบกวนจนอินชิงเสวียนนอนไม่หลับนางจึงลุกขึ้นนั่ง
อินชิงเสวียนสัมผัสได้ถึงความแข็งตรงหน้าอกจึงเอามือลูบไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตำราสองเล่มที่แลกมาให้เย่จิ่งอวี้ยังอยู่ที่ตนเอง เช่นนี้มิสู้ฉวยโอกาสเอาไปให้เขาตอนนี้ แล้วเอ่ยปากขอป้ายทองอภัยโทษจากเขาเสียเลย
อินชิงเสวียนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีทางเป็นไปได้ นางจึงเปิดประตูออกไปมุ่งตรงไปยังตำหนักกลาง
แสงไฟด้านในยังสว่างอยู่จริงๆ ด้วย เห็นเพียงเงาของเย่จิ่งอวี้สะท้อนที่หน้าต่างอย่างเลือนราง ในมือคล้ายกับกำลังถืออะไรบางอย่างอยู่ ไม่ต้องถามก็พอจะรู้ว่าของสิ่งนั้นเป็นตำรา
ในเมื่อนึกได้เช่นนี้ อินชิงเสวียนจึงยิ้มมุมปากเล็กน้อย เมื่อเดินมาถึงประตูก็ได้พบกับหลี่เต๋อฝูที่เดินออกมาจากด้านในพอดี
“ฝ่าบาททรงอนุญาตให้เจ้ากลับไปพักผ่อนได้แล้วไม่ใช่หรือเจ้ามาทำไมอีก”
หลี่เต๋อฝูยกมือขึ้นทำนิ้วกรีดกรายและจิ้มหน้าผากอินชิงเสวียนไปครั้งหนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...