สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 79

“แล้วเรื่องอื่นล่ะ”

เย่จิ่งอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึก

คนผู้นั้นกล่าวเสียงต่ำว่า “ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้อันผิงอ๋องได้เจอกับเสนากวนเมิ่งถิง ตอนนี้ปลอมตัวเป็นขันทีไปที่ตำหนักฉือหนิง นอกจากนี้ กระหม่อมยังยึดจดหมายมาได้หนึ่งฉบับ เป็นจดหมายที่ตำหนักฉือหนิงส่งออกไปพ่ะย่ะค่ะ”

เขาควักจดหมายนั้นออกมาจากหน้าอก ยื่นทูลเหนือหัวให้กับเย่จิ่งอวี้ด้วยความเคารพเป็นอย่าง

เย่จิ่งอวี้รับจดหมายนั้นมา แต่กลับไม่ได้ร้อนใจที่จะเปิดอ่าน

เขาใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางลูบเล่นอักษรที่ปิดผนึกอยู่บนจดหมายนั้น นัยน์ตาหงส์แคบยาวคู่นั้นเผยความเย้ยหยันเล็กน้อย

คนผู้นั้นกล่าวถามว่า “จะให้กระหม่อมนำคนไปขับไล่อันผิงอ๋องออกจากวังหลวงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ดวงตาของเย่จิ่งอวี่เปล่งประกายขึ้น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่จำเป็น จับตาดูให้ดีก็พอ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

รับสั่งเสร็จคนผู้นั้นก็ถอยไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะอันตรธานหายไปจากตำหนักเฉิงเทียน

เย่จิ่งอวี้ลุกจากตั่งฟูกนุ่ม ชุดคลุมยาวไหมสีขาวราวหิมะลากพื้น ขับให้ร่างของเขาดูสูงโปร่ง

เขาเดินไปที่โต๊ะทรงพระอักษร เปิดผนึกจดหมายฉบับนั้นออก ก่อนจะอ่านข้อความในจดหมายนั้นอย่างละเอียด และหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน

อยากขอความช่วยเหลือจากคนนอกเช่นนั้นหรือ ช่างน่าขำยิ่งนัก

หากโหวเหนือกระจอกๆ นั่นทำให้บัลลังก์ของเขาสั่นคลอนได้ หนึ่งปีในการเป็นฮ่องเต้ของเขาก็คงจะเปล่าประโยชน์กระมัง

เขายกข้อมือขึ้น โยนจดหมายนั้นลงไปในเตาไฟ

มองดูเปลวไฟที่กำลังลุกโชนนั่น ดวงตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้ค่อยๆ เย็นชาขึ้น

ดูสถานการณ์ไปก่อน ไม่จำเป็นต้องคิดมาก

หากถึงคราเขาลงมือ พวกเขาได้ตายแน่...

...

ณ ตำหนักฉือหนิง

ไทเฮากำลังเดินขมวดคิ้วเป็นปมอยู่ในตำหนัก

คนที่ยืนอยู่ข้างกายก็คือเย่จิ่งเย่าที่ตอนนี้อยู่ในชุดขันที

“จริงหรือ ขันทีน้อยข้างกายฝ่าบาทคืออินซื่อที่อยู่ในวังเย็นจริงๆ หรือ”

ไทเฮาหันกลับมาถาม

เย่จิ่งเย่ากล่าว “เป็นจริงแน่นอน ต่อให้อินชิงเสวียนกลายเป็นขี้เถ้า ลูกก็จำนางได้”

“แล้วเจ้าคิดว่านางจะตอบตกลงหรือไม่” ไทเฮาขมวดคิ้วกล่าวถาม

เย่จิ่งเย่ากล่าว “นางน่าจะยังรักลูกอยู่ เพียงแต่ตอนนี้ลูกถูกห้ามไม่ให้เข้าวัง ไม่อาจติดต่อกับนางได้ มีเพียงเสด็จแม่เท่านั้นที่ลงมือได้ ใช้พ่อและพี่ชายของนางเป็นเหยื่อล่อ แล้วตบรางวัลหนักๆ”

ไทเฮาตอบรับอืม และกล่าวว่า “บางทีนี่อาจจะเป็นหนทางหนึ่งก็ได้ ความกตัญญูของอินชิงเสวียนนั้นเป็นที่เลื่องลือนัก อาจจะใช้มันมาบีบบังคับนางได้ จะสำเร็จหรือไม่นั้น ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราอยู่แล้ว...”

เย่จิ่งเย่ายิ้มเจ้าเล่ห์

“ลูกเองก็คิดเช่นนั้น เดิมทีอินชิงเสวียนก็เกลียดชังเย่จิ่งอวี้อยู่แล้ว แม้นางจะถูกจับได้ เราก็ปัดความผิดไปได้อย่างไร้มลทิน”

...

วันต่อมา

พระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า และเป็นวันที่อากาศร้อนระอุอีกวัน

แม้แต่ลมหายใจในจมูกก็ร้อนมาก

อินชิงเสวียนถูกความร้อนปลุกให้ตื่นขึ้นมา แม้หน้าต่างในห้องจะเปิดหมดทุกบาน แต่ทั่วทั้งร่างล้วนเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

เสี่ยวอานจื่อเปลือยกายท่อนบนกำลังล้างหน้าอยู่ที่ประตู พลางสบถด่า “นี่มันอากาศบ้าอะไรถึงได้ร้อนเพียงนี้”

อินชิงเสวียนเดินออกมาจากห้อง มองดูร่างกายที่เหมือนเนื้อหุ้มกระดูกของเขาอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อนึกถึงรูปร่างสัดส่วนโค้งเว้าที่ชัดเจนของเย่จิ่งอวี้แล้วก็อดที่จะอุทานไม่ได้ บุรุษกับบุรุษด้วยกันก็มีความแตกต่างกันมากทีเดียวเชียว

“ใช่ ร้อนยิ่งนัก”

อินชิงเสวียนกล่าวเสริม นางอดนึกถึงเจ้าหมาน้อยไม่ได้ อากาศร้อนอบอ้าวเช่นนี้ ไม่รู้ว่าลูกจะขึ้นผื่นคันหรือไม่ นางควรจะซื้อผงทาผื่นคันสักกล่อง

เมื่อนึกได้เช่นนี้ก็ร้อนใจจนแทบจะทนไม่ไหว อยากกลับวังเย็นไปดูเจ้าหมาน้อยเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย

เมื่อเห็นพระอาทิตย์เพิ่งจะลอยอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ กว่าเย่จิ่งอวี้จะว่าราชการกับขุนนางเสร็จก็คงมีเวลาอีกสักพัก

ครั้นแล้วนางจึงกล่าวกับเสี่ยวอานจื่อว่า “ข้าจะไปดูน้องสาวข้าที่วังเย็นสักหน่อย อากาศร้อนเช่นนี้ ไม่รู้พวกนางจะเป็นอย่างไรบ้าง”

เสี่ยวอานจื่อกล่าว “ก็ได้ แต่เจ้าต้องรีบกลับมานะ ประเดี๋ยวฝ่าบาททรงถามหา ข้าไม่รู้จะทูลฝ่าบาทเช่นไร”

“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าไปดูประเดี๋ยวก็กลับ”

ขณะที่อินชิงเสวียนกำลังจะไป ทันใดนั้นเสี่ยวฮว๋ายจื่อผู้ที่นางเจอเมื่อคืนได้พาขันทีเฒ่าวัยห้าสิบกว่าคนหนึ่งเดินมาพอดี

“เสี่ยวเสวียนจื่อ ไทเฮาเรียกเจ้าไปเข้าเฝ้า นี่คือใต้เท้าชุย ชุยไห่ เป็นผู้ดูแลของตำหนักไทเฮา”

ชุยไห่หัวเราะเหอๆ เล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากกล่าวด้วยความสุภาพว่า “น้องชายรูปงามผู้นี้ก็คงจะเป็นเสี่ยวเสวียนจื่อสินะ ไทเฮาทราบเรื่องที่เจ้าออกจากวังไปคุมการหว่านเมล็ดพันธุ์เมื่อวาน พระองค์อยากถามไถ่ความเป็นอยู่ของราษฎร เสี่ยวเสวียนจื่อกงกงไปกับข้าสักหน่อยเถอะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์