สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 80

ไทเฮาทำเสียงฮึดฮัดออกทางจมูกด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก”

อินชิงเสวียนแสยะยิ้มมุมปาก กล่าวเสียดสีว่า “ความบังอาจของหม่อมฉัน หากเทียบกับอันผิงอ๋องแล้วยังห่างไกลกันมาก”

“สามหาว”

ไทเฮาตบโต๊ะด้วยความโกรธกริ้ว สีหน้าดำคล้ำลงมาก

ทว่า ไม่นานนักนางก็ฉีกยิ้มขึ้นอีกครั้ง แววตาที่มองอินชิงเสวียนนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะยังมีความรักความเมตตาอยู่

“ข้าเรียกเจ้าว่าเสี่ยวเสวียนจื่อไปก่อนก็แล้วกัน เรื่องระหว่างเจ้ากับเย่าเอ๋อร์ ข้าเสียใจมากจริงๆ แต่นี่ก็ไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของเย่าเอ๋อร์นะ เย่จิ่งอวี้ต่างหากล่ะที่บีบบังคับให้เย่าเอ๋อร์อภิเษกกับเจียงซิ่วหนิง ที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางทหารของตระกูลอิน น่าเสียดายที่พ่อเจ้าเป็นคนเข้มแข็งยุติธรรม ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ทำให้เย่จิ่งอวี้โกรธ นี่ต่างหากล่ะที่ทำให้พวกเขาต้องถูกเนรเทศไปที่เมืองซุ่ยหาน หากฮ่องเต้คนใหม่ไม่ขึ้นครองบัลลังก์ การเข่นฆ่าก็จะไม่เกิด พ่อและพี่ชายของเจ้าก็คงจะอยู่รอดปลอดภัย”

ไทเฮาคว้ามือของอินชิงเสวียนมาจับ กล่าวต่ออีกว่า “หากฝ่าบาทไม่เข้ามาขวางทาง เราก็คงจะเป็นครอบครัวเดียวกันไปตั้งนานแล้ว...”

อินชิงเสวียนคิดในใจ จู่ๆ ยายเฒ่าปีศาจนี้ก็แสดงน้ำใจดีออกมา ต้องมีเจตนาไม่ดีเป็นแน่

และเป็นเช่นนั้นจริงๆ ไทเฮาทอดถอนหายใจ และกล่าวต่อ “สวรรค์กลั่นแกล้งชัดๆ เจ้ากับเย่าเอ๋อร์เป็นคู่กันอยู่ดีๆ กลับถูกแยกจากกันอย่างไร้เหตุผล ข้ารู้ว่าในใจเย่าเอ๋อร์ยังมีเจ้าอยู่ และเจ้าเองก็ยังรักเย่าเอ๋อร์อยู่ ตราบใดที่เย่จิ่งอวี้ไม่เข้ามาขวางทางอีก เจ้าก็จะเป็นฮองเฮา แถมยังเป็นฮองเฮาของเย่าเอ๋อร์ เจ้า...คิดเช่นไร”

นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน...

นี่ตกลงจะให้ตนร่วมมือกระทำชั่วกับพวกเขาอย่างนั้นหรือ

อินชิงเสวียนทำเสียงเชอะในใจ ใครหวังอยากเป็นฮองเฮาของเย่จิ่งเย่ากันเล่า

เพียงดูแวบแรกก็รู้แล้วว่าเจ้านั่นไม่ใช่คนดี เจ้าของร่างเดิมชอบเขาได้อย่างไรกันนะ นางคงจะสติเลอะเลือนเหมือนถูกผีเข้าสิงเป็นแน่

เพียงแต่ตอนนี้จะต้อนรับขับสู้เช่นไรดีล่ะ

แค่เย่จิ่งอวี้คนเดียวก็ทำให้อินชิงเสวียนปวดหัวจะตายอยู่แล้ว นี่ยังมีไทเฮาอีก สมองของอินชิงเสวียนเริ่มทะเลาะกันเองแล้ว

เมื่อเห็นอินชิงเสวียนนิ่งเงียบไปเช่นนี้ ไทเฮาก็ตบบนมือนางเบาๆ

“ข้าได้ยินว่าช่วงนี้ฝ่าบาทโปรดปรานเจ้ามาก หากเจ้าจะลงมือ ก็นับว่ายังมีโอกาส เพื่อไม่ให้เย่จิ่งอวี้สงสัย ข้าสั่งคนไปเปลี่ยนกระดูกในไหนั่นแล้ว”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของอินชิงเสวียนก็เปล่งประกายขึ้นเล็กน้อย

หากเป็นเช่นนี้ ตัวตนที่แท้จริงของนางก็ยังสามารถปิดบังต่อไปได้อีกระยะเวลาหนึ่ง

“คำพูดของไทเฮา หม่อมฉันจะเก็บเอาไปคิด แต่ฝ่าบาทเป็นคนขี้ระแวงสงสัย ต่อให้เป็นหม่อมฉัน ก็ยากที่จะเข้าใกล้ได้ หากอยากทำให้สำเร็จ เกรงว่าต้องรอโอกาสที่ดีกว่านี้”

“ดี”

ทันใดนั้นไทเฮาก็ยิ้ม และเดินกลับไปนั่งบนแท่นประทับ ก่อนจะยิ้มพลางกล่าวต่อ “ข้าเป็นคนมีความอดทนสูง แต่ข้าเป็นคนไม่ยอมใคร หวังว่าเจ้าจะคิดไตร่ตรองให้ดี แต่หากว่าเจ้าลังเลใจล่ะก็ ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่”

อินชิงเสวียนโค้งคำนับพลางกล่าว “ขอบพระทัยไทเฮาที่ชี้แนะ เสี่ยวเสวียนจื่อจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”

ไทเฮาตอบอืม ก่อนจะกล่าวต่อว่า “เย่าเอ๋อร์รับปากข้าแล้วว่าหากทำสำเร็จ จะย้ายพ่อเจ้ากลับมายังเมืองหลวง เขายังเป็นท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นต้าโจว วันนึงในภายภาคหน้าเจ้าจะเป็นฮองเฮาตัวจริง เป็นความภาคภูมิใจของตระกูล”

อินชิงเสวียนกำลังจะเอ่ยกล่าวขอบคุณ ทันใดนั้นเองเสียงฝีเท้าย่ำเดินดังมาจากด้านนอก

ไม่นานนักเสียงของชุยไห่ก็ดังขึ้น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความลุกลี้ลุกลน

“ฝ่าบาทเสด็จพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ!”

สีหน้าไทเฮาเปลี่ยนไปทันที นางกล่าวกับอินชิงเสวียนว่า “อย่าให้ความลับรั่วไหลไปได้ล่ะ มิเช่นนั้นเจ้าไม่อยู่ดีแน่”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็ได้ย่างเท้ามาถึงหน้าประตูแล้ว

เย่จิ่งอวี้สวมชุดคลุมมังกรสีเหลืองทองอร่ามย่ำเท้าเดินผ่านประตูเข้ามาแล้ว

ริมฝีปากบางนั้นเม้มแน่น ดวงตาหงส์คู่นั้นเย็นชา น่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง

“ลูกคาราวะเสด็จแม่”

เย่จิ่งอวี้โค้งคำนับเล็กน้อย สายตามองไปที่ร่างของอินชิงเสวียนอย่างสำรวจตรวจสอบ เมื่อเห็นว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด สีหน้าเขาจึงผ่อนคลายลง

เสี่ยวอานจื่อขยิบตาบอกเป็นนัยให้กับอินชิงเสวียน อินชิงเสวียนรู้ว่าเขาเป็นคนไปหาฝ่าบาท นางจึงพยักหน้ากับเขา น้ำใจครั้งนี้นางจดจำเอาไว้แล้ว

“ฝ่าบาท เหตุใดวันนี้ถึงได้ว่าราชการเสร็จเร็วเช่นนี้ล่ะ”

ไทเฮาเป็นจิ้งจอกเฒ่าจริงๆ ใบหน้าของนางยิ้มอย่างอ่อนโยนอีกแล้ว

“วันนี้ไม่ค่อยมีเรื่องอันใด จึงว่าราชการเสร็จเร็วพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้นั่งลงบนแท่นประทับข้างๆ และกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ได้ยินว่าเสด็จแม่เรียกเสี่ยวเสวียนจื่อมาที่นี่ ไม่รู้ว่าเขาทำเรื่องอันใดผิดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ไทเฮายิ้มพลางกล่าว “เสี่ยวเสวียนจื่อไม่ได้ทำอันใดผิดหรอก เขาเป็นถึงขุนนางสร้างความดีแห่งแคว้นต้าโจว ข้าได้ยินมาว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เขาบริจาคเมล็ดพันธุ์พืช อีกทั้งยังออกนอกวังไปดูแลการทำไร่นาอีก ข้ารู้สึกประหลาดใจเลยอยากเจอ วันนี้ได้เจอ พอเห็นหน้าตารูปงามก็ชื่นชอบ เลยรั้งให้เขาอยู่พูดคุยต่อ”

เมื่อได้ยินไทเฮาชมเชยเสี่ยวเสวียนจื่อเช่นนี้ มุมปากของเย่จิ่งอวี้ก็ยิ้มเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

“ขอพระทัยในความเมตตาของเสด็จแม่ แต่เขาก็เป็นแค่บ่าวรับใช้ธรรมดาไม่ได้วิเศษอันใด”

อินชิงเสวียนที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินวาจาเช่นนี้ก็แสยะปากเล็กน้อย

แค่บ่าวรับใช้ธรรมดาไม่ได้วิเศษอันใด หึ เจ้าต่างหากล่ะ คนสารเลวไม่ได้วิเศษอันใด

เมื่อนึกถึงคำพูดของไทเฮาเมื่อครู่ นางก็อดที่จะสบถชิชะในใจไม่ได้

อวิ๋นฉ่ายไม่มีทางโกหกนาง เห็นได้ชัดว่าเย่จิ่งเย่าได้ใหม่ลืมเก่าทอดทิ้งเจ้าของร่างเดิมไป ยังมีหน้ามาพูดอีกว่าเย่จิ่งอวี้เป็นคนขวางทางทำลายทุกอย่าง หากว่าฝ่าบาทชื่นชอบเจ้าของร่างเดิมจริง กระทั่งตาย เหตุใดถึงไม่ไปดูศพสักหน่อยล่ะ

ปากของคนในวังหลวงนี้ มีไว้พูดหลอกภูตผีเท่านั้น เชื่อไม่ได้เลยจริงๆ

อินชิงเสวียนแทบจะทนไม่ได้ อยากจะกางปีกอุ้มเจ้าหมาน้อยบินออกไปให้พ้นวังนี้ อยู่ให้ไกลจากคนหน้าเนื้อใจเสือพวกนี้ จะได้ไปใช้ชีวิตของตัวเองกันอย่างมีความสุข

เมื่อนึกถึงเจ้าหมาน้อย อินชิงเสวียนก็นึกถึงเรื่องผดผื่นคันขึ้นมาได้ก็ร้อนอกร้อนใจมาก เมื่อใดเย่จิ่งอวี้กับไทเฮาจะพูดคุยกันเสร็จเสียที นางอยากจะออกไปจากตรงนี้จะแย่อยู่แล้ว

โชคดีที่เย่จิ่งอวี้ไม่ได้อยากอยู่นาน หลังจากพูดกันไม่กี่ประโยค เขาก็ลุกขึ้นและกล่าวว่า “ลูกยังมีฎีกาต้องอ่าน ลูกทูลลา”

ไทเฮาลุกขึ้น และกล่าวว่า “ฝ่าบาทมีราชการต้องทำมากมาย รักษาพลานามัยด้วย”

เย่จิ่งอวี้ตอบรับอืม ก่อนจะนำทุกคนเดินออกไปจากตำหนักฉือหนิงด้วยความหงุดหงิด

อินชิงเสวียนรีบตามไป เมื่อย่างเท้าออกมาจากประตูตำหนัก นางก็ถอนหายใจยาวออกมาด้วยความโล่ง

“ไทเฮาทำอะไรให้เจ้าลำบากใจหรือไม่” เย่จิ่งวอี้เหลือบมองพลางกล่าวถาม

อินชิงเสวียนก้มหน้าตอบ “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ แค่ถามไถ่เรื่องนอกวังเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

“แค่นั้นรึ” ดวงตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้หรี่มอง นัยน์ตาลึกล้ำอย่างมิอาจคาดเดาได้

อินชิงเสวียนถูกจ้องจนทำตัวไม่ถูก จึงย้อนถามกลับว่า “หรือว่ามีเรื่องอื่นใดอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่เต๋อฝูรีบตะคอกเสียงแหลมว่า “สามหาว เจ้ากล่าววาจาเช่นนี้กับฝ่าบาทได้อย่างไร ไม่ใช่เพราะฝ่าบาทเป็นห่วงเจ้าหรอกหรือถึงได้รีบเลิกว่าราชการเช่นนี้”

อินชิงเสวียนได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจเล็กน้อย คนอย่างเย่จิ่งอวี้เนี่ยะนะจะเป็นห่วงขันทีน้อย อีกทั้งยังรีบเลิกว่าราชการเช่นนี้อีก

เย่จิ่งอวี้หันไปจ้องหน้าหลี่เต๋อฝู

ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ตามข้าไปที่สวนอวิ๋นเซียง”

“พ่ะย่ะค่ะ”

อินชิงเสวียนตามเย่จิ่งอวี้มาที่สวนอวิ๋นเซียง แตงโมโตมีขนาดใหญ่ประมาณสิบเซนติเมตรแล้ว แต่ละลูกออกผลสีเขียวสด เป็นที่น่าพึงพอใจมาก

เสี่ยวอานจื่อมองแตงโมพลางแลบลิ้นเลียปาก ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ต่อให้อากาศร้อนระอุเพียงใด แต่ก็ไม่ใช่ของที่เขาจะกินได้

เย่จิ่งอวี้เดินเข้าไปในสวนแล้ว เขายืนอยู่หน้าต้นหอมต้นหนึ่ง

เอ่ยปากกล่าวถามด้วยความประหลาดใจว่า “นี่คือสิ่งใด”

อินชิงเสวียนก้าวไปข้างหน้าและกล่าวว่า “นี่คือต้นหอมพ่ะย่ะค่ะ สามารถนำมาประกอบอาหาร หรือจะกินเปล่าๆ ก็ได้ อีกทั้งยังเอามาทำไส้เกี๊ยวได้ด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อได้ยินถึงเกี๊ยว เย่จิ่งอวี้ก็นึกถึงบางอย่างที่เหมือนหยวนเป่า และเขาก็กลืนน้ำลายลงคออย่างมิอาจควบคุมได้

“ในเมื่อเจ้าสิ่งนี้มันดีอย่างที่เจ้าว่า เจ้าก็นำไปที่ห้องเครื่องทำเกี๊ยวสักหน่อยก็แล้วกัน”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์