ฟางรั่วรับน้ำพุวิญญาณมาอย่างไม่ลังเล และดื่มหมดในครั้งเดียว
จากนั้นก็ลุกขึ้นพูดว่า “ข้าน้อยจะไปปฏิบัติภารกิจเดี๋ยวนี้”
นางเปิดประตูด้วยฝีเท้าที่โซเซ เดินออกไปอย่างล้มลุกคลุกคลาน
เย่จิ่งอวี้เหลือบมองอินชิงเสวียนและถามว่า “ท่าทางของนางจะไหวหรือไม่?”
อินชิงเสวียนพูดอย่างราบเรียบว่า “นี่คือทางที่นางเลือกด้วยตัวเอง แม้ต้องร้องไห้ก็เดินให้ถึง”
นี่ถือเป็นการฝึกฝนฟางรั่วในอีกรูปแบบหนึ่ง ผู้ที่กระทำการใหญ่ต้องเริ่มจากลำบากกายาเคี่ยวเข็ญถึงเอ็นกระดูก ให้อดทนอดอยากอาหาร นี่คือคำพูดที่โด่งดังชั่วกาล
เส้นทางเมื่อวัยเยาว์ ฟางรั่วไม่มีสิทธิ์ได้เลือก วันนี้นางเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นางควรจะรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตัวเอง
เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้ว รู้สึกราวกับว่าภาวะจิตใจของเด็กสาวคนนี้เปลี่ยนไปอีกแล้ว นางมีพลังอำนาจมากยิ่งขึ้น ดวงตาที่เหมือนพระจันทร์เสี้ยวนั้นมั่นคงและกล้าหาญ ถือเป็นสตรีผู้ไม่ยอมเป็นรองบุรุษอย่างแท้จริง
อินชิงเสวียนหันหน้ามา เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งอวี้ยิ้มตาหยีและมองมาที่ตัวเอง ก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้ “เหตุใดท่านจึงมองข้าเช่นนี้?”
เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความจริงใจว่า “ข้าเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเสวียนเอ๋อร์ เมื่อเทียบกับเด็กสาวคนก่อนที่มีไหวพริบปฏิภาณ ตอนนี้เสวียนเอ๋อร์มีกิริยาท่าทางเหมือนท่านพ่อของเจ้ามากทีเดียว”
อินชิงเสวียนยิ้มหวาน
“นี่นับว่าเป็นคำชื่นชมข้าใช่หรือไม่?”
เย่จิ่งอวี้เกาเบาๆ ที่สันจมูกสูงโด่งของนาง
“เจ้าคิดอย่างไรเล่า?”
อินชิงเสวียนคว้านิ้วมือเรียวยาวของเขาไว้ และมองเขาด้วยสายตาตำหนิ
“ข้าจะไปหาจ้าวเอ๋อร์แล้ว”
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู จู่ๆ ก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้
เย่จั้นเคยเล่าว่า ตอนที่อินหลีหายตัวไป มีคนเคยได้ยินเสียงกระพรวน หรือว่าเริ่มต้นทิศทางผิดตั้งแต่แรก?
คนที่พาตัวอินหลีไปไม่ใช่เย่จั้น แต่เป็นชายประหลาดคนนั้นที่พุ่งเป้ามายังเย่จิ่งอวี้ตลอดเวลา?
“เสวียนเอ๋อร์คิดอะไรได้อีกงั้นหรือ?”
เมื่อเห็นสาวน้อยชะงักฝีเท้าลง เย่จิ่งอวี้เดินมาที่ข้างกายนาง และถามอย่างละเอียด
“จู่ๆ ข้าก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ การหายตัวไปของท่านอาน้อยอาจเกี่ยวข้องกับชายประหลาดชุดดำคนนั้น”
อินชิงเสวียนนำเรื่องที่เย่จั้นบอกเล่าให้เย่จิ่งอวี้ฟัง
“หากครั้งหน้าพบชายประหลาดคนนั้นอีก จะต้องถามเขาให้ได้เลย”
เย่จิ่งอวี้ตกใจเล็กน้อย
“เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินเสวียนเอ๋อร์พูดเรื่องนี้มาก่อน?”
อินชิงเสวียนพูดด้วยความรู้สึกผิด “ข้าก็เพิ่งนึกขึ้นได้เช่นกัน ข้ารู้สึกผิดต่อท่านอาน้อยเสียจริง”
เย่จิ่งอวี้พยักหน้าแล้วพูดว่า “ตอนนี้สภาพร่างกายของคนนี้อาจทนได้อีกไม่นานนัก แม้ว่าจะพยายามทำทั้งที่รู้ว่าทำไม่ได้ แต่เขาก็ต้องยอมเสี่ยงเพื่อมาหาข้าที่นี่แน่นอน หรืออาจสร้างฉากนองเลือดครั้งใหญ่”
เขาเดินมาถึงหน้าประตู มองดูนกที่เกาะอยู่บนต้นไม้ เสียงของเขาก็ขรึมขึ้นเล็กน้อย
“สองวันนี้ข้าไปที่สำนักกระบี่สังหารกับท่านตาก็เพื่อเรื่องนี้ เพื่อจัดการคนสารเลวคนนั้น ลูกศิษย์ที่ออกลาดตระเวนในแต่ละสำนักต่างต้องเปลี่ยนเป็นยอดฝีมือชั้นสูง โศกนาฏกรรมครั้งก่อนจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก”
อินชิงเสวียนพยักหน้าพูดว่า “คนผู้นี้มีวิทยายุทธ์แข็งแกร่ง วิชาตัวเบาก็ยอดเยี่ยมที่สุด แม้ท่านตาบอกว่าพลังยุทธ์ของเขาแย่ลง แต่ก็ไม่สามารถจัดการได้ด้วยวิธีการธรรมดา”
การฝังโลหิตทำได้เพียงเวลาที่เย่จิ่งอวี้จิตใจอ่อนแอเท่านั้น จึงจะสามารถฉวยโอกาสได้ สิ่งเดียวที่ใช้กระตุ้นเย่จิ่งอวี้ คือการนองเลือดเป็นวงกว้างขนาดใหญ่
เมื่อนึกถึงการตายอย่างน่าสังเวชของลูกศิษย์แต่ละสำนึกเมื่อหลายวันก่อน อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...