หยวนเป่ากะพริบตาปริบๆ แล้วถามว่า “เป็นใครหรือ”
ดวงตาของเฮ่อฉางเฟิงหรี่ลงเล็กน้อย
“ไม่ต้องถามอะไรอีก ไปหาที่พักก่อน”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของคุณชายเริ่มจริงจัง หยวนเป่าก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
สองนายบ่าวเจอโรงเตี๊ยมหลังหนึ่งจึงแวะพักอยู่ที่นั่น
ซึ่งบรรยากาศที่หนาวเย็นนั้น ก็หายไปเมื่อทั้งสองคนจากไป
อินชิงเสวียนพ่นลมหายใจออกช้าๆ
ในเวลานี้ มีมือข้างหนึ่งวางบนไหล่ของนาง ทำให้อินชิงเสวียนตกใจ นางหันขวับ ก็เห็นเรียวตาแคบคู่หนึ่ง
“เป็นอะไรไปหรือ”
เมื่อเห็นใบหน้าของอินชิงเสวียนซีดลงเล็กน้อย เย่จิ่งอวี้ก็โอบกอดนางทันที
อินชิงเสวียนกระตุกมุมปาก
“ไม่มีอะไร”
“เสวียนเอ๋อร์สังเกตพบอะไรงั้นหรือ”
ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ลึกล้ำ จ้องมองไปที่อินชิงเสวียนอย่างแน่วแน่
เขารู้ความสามารถในการรับรู้ของหญิงสาวเป็นอย่างดี หากไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นางจะไม่แสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมา
อินชิงเสวียนรู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถปิดบังเย่จิ่งอวี้ได้ จึงพูดตามความจริง “เมื่อครู่มีกระแสที่เป็นเจตนาร้าย แต่ไม่นานก็หายไป ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นคนนั้นหรือเปล่า แต่รู้สึกได้ถึงความเคียดแค้นอย่างที่สุด”
เย่จิ่งอวี้ก้าวไปข้างหน้า แล้วเหาะขึ้นไปบนหลังคาเหมือนห่านป่า เขาตั้งสมาธิ ถ่ายเทกำลังภายในจากตันเถียนส่งไปในหู เพิ่มทักษะการฟังให้ถึงขีดสุด
สิบห้านาทีเต็มๆ เขาถึงลอยลงมา
“ถ้าเป็นเขาจริงๆ ก็คงไปแล้ว”
อินชิงเสวียนกัดริมฝีปากแล้วพูดว่า “คิดว่าฝนน้ำพุวิญญาณนี้ยังช่วยฟื้นคืนพลังของเขาด้วย เป็นข้าที่ไม่ได้คิดอย่างรอบคอบ”
เย่จิ่งอวี้ยกมุมปากบางขึ้น แล้วหัวเราะเบาๆ “เช่นนี้จะไม่ยิ่งดีกว่าหรือ ถ้าเขาเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดก็คงไม่ใช่เรื่องดี มีคำพูดในหมู่คนว่า ไม่กลัวโจรขโมย ก็กลัวโจรจะนึกถึง ความรู้สึกที่ถูกนึกถึงนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการถูกขโมยด้วยซ้ำ”
หลังจากได้ยินคำอุปมาของเย่จิ่งอวี้ อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆต่ำ
“ไม่เคยคิดเลยว่าฝ่าบาทจะพูดคำที่ติดดินได้ขนาดนี้”
เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้วเล็กน้อย มองดูนางแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้ก็เป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือ ต้องกินต้องดื่มขับถ่ายเช่นกัน จะสูงส่งกว่าคนอื่นได้อย่างไร”
เมื่อมองดูดวงตาที่ยิ้มแย้มคู่นั้น อินชิงเสวียนก็พูดจากใจ
“ออกมาคราวนี้ ฝ่าบาทดูเหมือนจะเปลี่ยนไป ข้าหมายถึงเรื่องนิสัย สุขุมขึ้น เก็บอารมณ์มากขึ้น”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ทันใดนั้นอินชิงเสวียนก็นึกถึงเฮ่อฉางเฟิงที่เจอกันในช่วงบ่าย เย่จิ่งอวี้ในตอนนี้ก็ซ่อนความคมไว้เช่นกัน
“เสวียนเอ๋อร์ก็ใช่ว่าจะไม่เปลี่ยน ตอนที่ข้าพบเจ้าครั้งแรก เจ้าเป็นคนแปลกและเต็มไปด้วยความคิดที่ชาญฉลาด ตอนนี้เจ้ามีความสง่างาม มีคุณธรรม สงบสง่า ยิ่งเหมือนมารดาแห่งแผ่นดินมากขึ้นเรื่อยๆ”
เขาถอนหายใจเบาๆ และพูดว่า “ไม่รู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะยุติ ข้าแทบรอไม่ไหวที่จะพาเสวียนเอ๋อร์กลับเมืองหลวง จัดพิธีแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮาอย่างยิ่งใหญ่”
“ต้องมีวันที่ทุกอย่างสงบลงแน่”
อินชิงเสวียนจับแขนของเย่จิ่งอวี้ แล้วค่อยๆ ซบศีรษะบนไหล่ของเขา
เรื่องพิธีแต่งตั้งฮองเฮานั้น อินชิงเสวียนไม่สนใจมากนัก นั่นเป็นเพียงตำแหน่งเท่านั้น ที่นางต้องการคือคนที่อยู่ตรงหน้า
แค่สามารถอยู่กับเย่จิ่งอวี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นฮองเฮาหรือสามัญชนก็ไม่สำคัญ
นางรู้ดีว่าเย่จิ่งอวี้ไม่สามารถละทิ้งบัลลังก์ และท่องยุทธภพไปกับนางโดยไม่สนใจราษฎรนี้
ถ้าเย่จิ่งอวี้เป็นคนที่ขาดความรับผิดชอบจริงๆ อินชิงเสวียนกลับจะยิ่งดูถูกเขา
นางยังต้องการใช้ความแข็งแกร่งและความสามารถของตัวเอง เพื่อช่วยเย่จิ่งอวี้สร้างยุคที่รุ่งเรืองให้กับต้าโจว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...