ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดอินชิงเสวียนก็ผล็อยหลับไป
ก่อนนอนมีความคิดเดียวในใจ นิทานกล่อมนอนของเย่จิ่งอวี้ที่มุมานะทำอย่างตั้งใจนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าเรื่องเณรน้อยบนภูเขาเสียอีก...
หลังจากนอนหลับจนถึงเที่ยง อินชิงเสวียนก็ลืมตาขึ้นด้วยความพึงพอใจ
เย่จิ่งอวี้กำลังนั่งข้างบ่อน้ำพุวิญญาณโดยที่เปลือยท่อนบนอยู่ แผ่นหลังแข็งแรง มีเส้นเลือดโผล่ออกมาจากแขน ดูมีพลังแข็งแกร่งยิ่งนัก
เมื่อคิดถึงพายุโหมรุนแรงเมื่อคืนนี้ อินชิงเสวียนรู้สึกแข้งขาอ่อนแรง
นางรีบไปที่บ่อน้ำพุ แล้วใช้มือวักน้ำขึ้นมาดื่ม หลังจากดื่มแล้ว ก็รู้สึกสดชื่นในลำคอ ร่างกายฟื้นฟูขึ้นในทันที
พอได้ยินเสียง เย่จิ่งอวี้ก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน
“นอนหลับเป็นอย่างไรบ้าง”
อินชิงเสวียนกลอกตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ”
เย่จิ่งอวี้ยื่นมือออกไปรั้งตัวนางเข้ามาในอ้อมแขน แล้วถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “หรือว่านิทานของข้า ไม่ดีพองั้นหรือ”
อินชิงเสวียนเหยียดกำปั้นออก ชกหน้าอกของเขาเบาๆ
“ไม่ดี ครั้งหน้าท่านเล่าเรื่องกาลครั้งหนึ่งมีภูเขาลูกหนึ่งดีกว่า!”
“เจ้าบอกเองนะ”
เย่จิ่งอวี้ยิ้มอย่างมีความสุข ยกเข่าลุกขึ้นยืน
“น่าจะเกือบเที่ยงแล้ว ตอนบ่ายข้าต้องฝึกพลังภายในกับท่านตา เราควรออกไปข้างนอกกันได้แล้ว”
เมื่อกลับถึงห้องก็เป็นเวลาเที่ยงวันจริงๆ
อินชิงเสวียนใช้คะแนนสะสมแลกอาหารปรุงสุก ข้าวอุ่นเอง และเนื้อกระป๋องอีกหลายกระป๋อง ทั้งสองคนกินง่ายๆ เย่จิ่งอวี้ก็เข้าไปในห้องลับ ในขณะที่อินชิงเสวียนเดินไปหาเย่จิ่งหลานที่ห้องข้างๆ
ห้องนั้นว่างเปล่า หลังจากถามฮวาเชียน จึงพบว่าเย่จิ่งหลานออกไปกับหวังซุ่นตั้งแต่เช้า
ในชั่วพริบตาก็ไม่ได้เจอเขามาสองสามวันแล้ว อินชิงเสวียนเริ่มคิดถึงขึ้นมา นางจึงอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงไปที่ชายทะเลด้วยกัน
เห็นเย่จิ่งหลานนั่งยองๆ บนก้อนหินมาแต่ไกล ถือแบบแปลนและปากกาลูกลื่นไว้ในมือ กำลังขีดๆ เขียนๆ และมีลำโพงตัวใหญ่ห้อยอยู่รอบคอ ทำหน้าที่เป็นผู้คุมงานก่อสร้างอย่างเต็มที่
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาคือเรือเหล็กขนาดใหญ่ที่เป็นรูปเป็นร่าง มีคนตอกตะปู บ้างก็เชื่อมอยู่ข้างใต้ ทุกคนต่างปฏิบัติหน้าที่ของตนและทำงานกันไม่หยุด
เมื่อมองดูฉากนี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าว ไม่รู้ว่าทำไม พูดง่ายๆ ก็คือ นางรู้สึกซาบซึ้งใจมาก
“เด็จอา~”
เสี่ยวหนานเฟิงก็มีดวงตาที่เฉียบคมเช่นกัน เมื่อเห็นเย่จิ่งหลาน ก็โบกมือเล็กๆ ป้อมทันที
อินชิงเสวียนรีบปิดปากของเสี่ยวหนานเฟิง กระซิบข้างหู “เรียกว่าอาก็พอ อย่าพูดคำว่าเสด็จ”
จู่ๆ เสี่ยวหนานเฟิงก็เงยหน้าอ้วนกลมขึ้น มองอินชิงเสวียนตาปริบๆ ท่าทางเหมือนไม่เข้าใจ
อินชิงเสวียนกระซิบ “ถ้าคนเลวรู้ว่าเขาเป็นเสด็จอาของเจ้า เขาจะถูกตีก้น”
เสี่ยวหนานเฟิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้าอย่างจริงจัง เลียนแบบท่าทางอินชิงเสวียน กระซิบข้างหูของนางด้วยเสียงแจ๋วๆ “ตีก้น เจ็บๆ”
อินชิงเสวียนกลั้นยิ้มและล้อหลอกต่อ “ใช่ เสด็จอาของเจ้าจะร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ฉะนั้นจึงพูดไม่ได้”
เสี่ยวหนานเฟิงกอดคอของนาง แล้วพูดเสียงนุ่มนิ่ม “ไม่พูด”
“นี่สิเด็กดี เราไปเล่นกับอากันเถอะ”
อินชิงเสวียนจูบใบหน้าเล็กๆ ของลูกชายอย่างแรง และเดินไปหาเย่จิ่งหลานเร็วๆ
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เย่จิ่งหลานก็เงยหน้าขึ้น พูดด้วยใบหน้าที่ไม่มีความสุข “เจ้าคนใจร้าย ยังรู้จักมาดูข้าอีกหรือ ได้ของไปแล้วก็ไม่สนใจอะไรเลย ช่างเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดแขนเก่งจริงๆ”
“นี่ยังไม่ถึงเวลาออกไปไม่ใช่หรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...