สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 84

อินชิงเสวียนคิดจะจากไป ทว่ากลับสายไปแล้ว

ลู่จิ้งเสียนเห็นนางแล้ว

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

เมื่อเห็นอินชิงเสวียน ทันใดนั้นซูฉ่ายเวยราวกับเห็นฟางช่วยชีวิต

นางตะโกนอย่างตื่นเต้นว่า “เสี่ยวเสวียนจื่อ ช่วยข้าเรียกฝ่าบาทเร็วเข้า เสียนเฟยคลั่งขึ้นมาอีกแล้ว”

ลู่จิ้งเสียนพลันหน้าเปลี่ยนสี ฝ่าบาทเพิ่งเรียกซูฉ่ายเวยเข้าพบเมื่อไม่กี่วันก่อน นางรู้ดีว่า เมื่อเทียบกับความเฉยเมยที่มีให้กับผู้อื่นแล้ว ฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อนางสารเลวซูฉ่ายเวยแตกต่างจากคนอื่น หากฝ่าบาทตำหนินางขึ้นมา นางคงแบกรับไม่ไหว

ลู่จิ้งเสียนเป็นพวกคลั่งลำดับขั้นของสนม สิ่งที่นางกลัวมากที่สุดก็คือถูกลดขั้นอีกครั้ง

นางรีบสั่งขันทีของตน “อย่าให้เขาหนีไปได้ จับเขาเร็วเข้า”

อินชิงเสวียนหมุนตัวหนี แต่ขันทีคว้าแขนเสื้อของนางไว้ อินชิงเสวียนจึงเตะขันทีออกไป ฉับพลันนางก็นึกถึงกระบองไฟฟ้าในแขนเสื้อ นางยังไม่เคยใช้เจ้าสิ่งนี้เลย พอดีเลยลองใช้มันกับสุนัขพวกนี้แล้วกัน

ว่าแล้วจึงสะบัดข้อมือหยิบกระบองไฟฟ้ามาถือไว้ อินชิงเสวียนกดสวิตช์แล้วจิ้มไปที่ท้องของขันที

ทันใดนั้นขันทีก็กระตุกเหมือนเต้นเบรกแดนซ์ หลังจากตัวยืดก็ล้มลงกับพื้นเสียงดังตุบ อินชิงเสวียนใช้วิธีการเดียวกันกับขันทีอีกคนหนึ่ง ให้กระบองไฟฟ้าเขาไปกินด้วยอีกหนึ่ง

กระบองในมือของอินชิงเสวียนมีกระแสไฟฟ้าสีน้ำเงินแล่นพล่าน ส่งเสียงดังเปรี๊ยะเปรี๊ยะ ลู่จิ้งเสียนสะดุ้งตกใจ ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนร้องถามอย่างตื่นกลัว “เจ้า เจ้าถือสิ่งใดไว้ในมือ”

อินชิงเสวียนแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “หากพระสนมทรงอยากรู้ ใยมิลองด้วยตัวเองเล่า”

ลู่จิ้งเสียนถอยหลังอีกหลายก้าว พลางกล่าวอย่างตื่นตระหนก “บังอาจ เจ้าสังหารขันทีของข้าตาย แล้วยังกล้าลงมือกับข้าอีก กบฏ ก่อกบฏแล้ว ข้าเป็นพระราชนัดดาของไทเฮา หากเจ้ากล้าแตะต้องข้า เจ้าต้องตายไร้ที่ฝัง”

ขณะที่พูดก็คว้าตัวซูฉ่ายเวย แล้วผลักนางมาอยู่ด้านหน้าของตน

ซูฉ่ายเวยรีบผลักลู่จิ้งเสียนออกไป โดยหวังว่าอินชิงเสวียนจะแทงนางสักสองสามครั้ง

อินชิงเสวียนเดินไปตรงหน้าลู่จิ้งเสียน แล้วกล่าวเสียงเย็นชาว่า “ข้าอยากเห็นนัก ว่าไทเฮาจะทำให้ข้าตายไร้ที่ฝังอย่างไร”

หากเป็นเมื่อหนึ่งวันก่อน อินชิงเสวียนคงไม่กล้าลงมือกับลู่จิ้งเสียน ทว่าตั้งแต่ไปตำหนักฉือหนิง นางก็ไม่กลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว

เนื่องจากไทเฮาต้องการให้นางลอบสังหารเย่จิ่งอวี้ เห็นได้ชัดว่าการจะติดสินบนคนข้างกายเย่จิ่งอวี้นั้นเป็นเรื่องยากสำหรับนาง แต่นางก็ค้นพบว่า ตราบใดที่ตัวเองยังมีคุณค่าในการใช้งาน ไทเฮาก็ไม่กล้าทำอะไรนาง สำหรับในเรื่องนี้นั้น ยังมีอะไรที่ต้องกลัวอีก

คิดได้ดังนั้น อินชิงเสวียนจึงยกกระบองไฟฟ้าขึ้น แล้วจิ้มไปบนมือของลู่จิ้งเสียน

ลู่จิ้งเสียนชักเหมือนคนเป็นโรคลมชัก อินชิงเสวียนกลัวว่านางจะหมดสติไป ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นคงยากจะอธิบายได้ จึงกดปิดสวิตช์กระบองไฟฟ้า

แล้วกล่าวข่มขู่ไปว่า “หากยังกล้ามายุ่งกับบิดาอีก บิดาจะฆ่าเจ้าเสีย”

ลู่จิ้งเสียนอ่อนแรงไปทั้งร่าง นางล้มลงไปกับพื้นแล้วตาเหลือกทันที

ซูฉ่ายเวยคิดไม่ถึงว่าอินชิงเสวียนจะใจกล้าเช่นนี้ แม้แต่ลู่จิ้งเสียนก็ยังกล้าจัดการ ทันใดนั้นก็มองดูนางด้วยแววตาชื่นชม

ก่อนจะถามอย่างตกตะลึงว่า “เสี่ยวเสวียนจื่อกงกง นางยังสบายดีหรือไม่ หากตายในวังของข้า ข้าก็ยากจะอธิบายได้”

“วางใจเถอะ ยังไม่ตาย ประเดี๋ยวก็ได้สติขึ้นมา”

อินชิงเสวียนเก็บกระบองไฟฟ้ากลับเข้าไปในแขนเสื้อ ใบหน้าเผยรอยยิ้มสดใส

“ที่บ่าวมาคราวนี้ เพราะมีของดีอยากให้พระสนมลองพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเห็นอินชิงเสวียนไม่ตื่นตระหนก ทั้งยังมีใจทำการค้า ซูฉ่ายเวยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจเต้นรัวเป็นกลอง

ฝ่าบาททรงโปรดปรานเขามากเพียงใดนะ เขาถึงได้ไม่หวาดกลัวสิ่งใดได้ขนาดนี้

แม้ว่าเขาจะขายมูลม้าให้แก่นาง นางก็จะซื้อโดยไม่ลังเล

ตราบใดที่ผูกกงกงผู้นี้ไว้ได้ ตำแหน่งของนางก็จะรุ่งโรจน์ในไม่ช้า

นางยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องลองแล้ว ขอแค่เป็นของของเสี่ยวกงกง ข้าย่อมต้องการ เสี่ยวกงกงเสนอราคามาเถอะ”

อินชิงเสวียนยิ้ม “จะได้อย่างไรกัน บ่าวทำการขายอย่างซื่อตรง ไม่หลอกลวงแม้เด็กและคนชรา เชิญพระสนมเข้ามาพร้อมกับบ่าว”

ซูฉ่ายเวยไม่กล้าวาดมาดใส่อินชิงเสวียนอีก นางรีบเดินเข้าไปในห้อง

อินชิงเสวียนหยิบชุดชั้นในลูกไม้สีดำออกมา แล้วเทียบขนาดหน้าอกของซูฉ่ายเวย

“การสวมใส่สิ่งนี้จะช่วยให้พระสนมสูงส่งสง่างาม อย่าว่าแต่ฝ่าบาทเลย ไม่มีบุรุษคนใดไม่ชอบมัน”

ซูฉ่ายเวยนิ่งงันอย่างไม่เข้าใจ “สิ่งนี้...สวมอย่างไรรึ”

อินชิงเสวียนสาธิตสวมบนเสื้อนอกทันที แสดงให้เห็นว่าต้องทำอย่างไร

เมื่อเห็นว่าต้องสวมบนหน้าอก ซูฉ่ายเวยพลันหน้าแดง ดวงตาเปล่งประกาย

นางแบนราบมาตั้งแต่เด็กแล้ว ยามสวมเสื้อผ้าจึงค่อนข้างหลวม หากมีสิ่งนี้ก็สามารถเดินเชิดหน้าเดินในวังได้แล้ว

ซูฉ่ายเวยเม้มปาก ก่อนตัดสินใจรับมันมา

“เสี่ยวกงกงโปรดรอสักครู่ ข้าจะรีบกลับมา เซียงหลาน เจ้าตามข้าเข้ามา”

ซูฉ่ายเวยเรียกเซียงหลานเข้ามาในห้อง แทบรอถอดเสื้อผ้าไม่ไหว นางถอดตู้โตว[footnoteRef:1]ทิ้งด้วยเช่นกัน [1: ตู้โตว เสื้อชั้นในของผู้หญิงจีนสมัยโบราณเรียกว่า มีลักษณะเป็นผืนผ้าคล้ายผ้ากันเปื้อน สำหรับคาดรอบอกและมีสายผ้าผูกที่คอกับเอว

]

ทั้งสองพยายามอยู่สักพัก ถึงจะสวมชุดชั้นในได้ แล้วจึงสวมชุดกระโปรง มันแตกต่างออกไปในทันที ความอ่อนหวานแช่มช้อยของสตรี ถูกขับเน้นออกมาอย่างชัดเจน

ซูฉ่ายเวยยืดตัวเพื่อผลักดันจุดสูงสุดอันน่าภาคภูมิใจของนางขึ้นมา เอ่ยถามว่า “ดูเป็นอย่างไร”

เซียงหลานหน้าแดง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา จ้องมองไปที่ปลายรองเท้าแล้วตอบว่า “พระสนมทรงงดงามมากเจ้าค่ะ”

ซูฉ่ายเวยหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ และพูดกับเซียงหลานว่า “ไปหยิบเงินมาสองพันตำลึง เราต้องเอาใจเสี่ยวเสวียนจื่อให้ดีเชียว”

สองนายบ่าวเดินออกมาที่ห้องโถงด้านนอก ท่าเดินของซูฉ่ายเวยดูสง่างามกว่าเดิมมาก

อินชิงเสวียนมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “พระสนมทรงพอใจหรือไม่”

“แน่นอนว่าพอใจมาก ขอบใจเสี่ยวกงกงมากที่นึกถึงข้า”

เซียงหลานมอบเงินสองพันตำลึงให้

“นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของพระสนมเรา หวังว่าเสี่ยวกงกงจะรับไว้ ขอบคุณสำหรับการดูแลอย่างดี”

อินชิงเสวียนรับเงินอย่างใจเย็น

“ต้องดูแลอย่างดีอยู่แล้ว”

สิ้นเสียง ขันทีคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา

“พระสนม เสียนเฟยได้สติและวิ่งจากไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ซูฉ่ายเวยรู้สึกประหม่าเล็กน้อย นางบิดผ้าเช็ดมือแล้วถามว่า “จะทำเช่นไรดี นางถึงจะไม่มารบกวนข้าอีก”

ความจริงแล้วลู่จิ้งเสียนมาหาเรื่องซูฉ่ายเวยตลอดเวลา ทำให้ซูฉ่ายเวยเกิดความวิติก

อินชิงเสวียนครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “หากไทเฮาเรียกพบท่าน พระสนมทูลไปว่าข้าเป็นผู้ลงมือ ลู่จิ้งเสียนคงไม่ชักแม่น้ำทั้งแปดมาโทษท่าน”

ซูฉ่ายเวยกล่าวอย่างโกรธเคือง “เสี่ยวกงกงอาจจะไม่ทราบ ลู่จิ้งเสียนนางสารเลวนั่นพอโมโหขึ้นมาทีไรก็จะมาหาเรื่องข้าทุกที”

อินชิงเสวียนเกือบหลุดหัวเราะ นี่มันนอนให้หลับกินให้อิ่มแล้วมาหาเรื่องซูฉ่ายเวยชัดๆ

จากนั้นก็กระแอมไอขึ้น “วางพระทัยเถอะพ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะรายงานเรื่องนี้กับฝ่าบาท นางหาเรื่องท่านก่อน หากมีเรื่องอันใด ให้ส่งคนไปที่ตำหนักเฉิงเทียน”

“ขอบใจเสี่ยวเสวียนจื่อกงกงมาก”

หลังจากซูฉ่ายเวยพูดจบ ก็หันไปบอกขันทีน้อยว่า “ปิดประตูวังทันที”

เมื่ออินชิงเสวียนเดินออกจากหอฉงฮวา ประตูวังก็ถูกปิดอย่างแน่นหนา

อินชิงเสวียนยืนครุ่นคิดกลางถนนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจกลับไปเก็บเงิน เพราะเก็บไว้กับตัวคงไม่ปลอดภัย

นางจึงรีบกลับไปยังวังเย็น ขณะเดียวกัน ลู่จิ้งเสียนก็ตรงไปยังตำหนักฉือหนิง

หลังจากถูกช็อต มือเท้าของลู่จิ้งเสียนก็ชาและยังไม่ฟื้นตัวดี เมื่อไปถึงที่หน้าประตูก็ล้มพับในทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์