สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 85

“เสด็จแม่ หม่อมฉันกำลังจะตาย!”

ไทเฮาประทับนั่งบนเบาะนุ่มกำลังดื่มน้ำบ๊วยเปรี้ยวเย็นๆ เมื่อได้ยินเสียงของลู่จิ้งเสียน หัวคิ้วก็พลันขมวดมุ่น

“เสียงดังเอะอะอะไรกัน”

ลู่จิ้งเสียนพยายามลุกขึ้นจากประตู แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง

ครึ่งร่างยังคงชา แม้แต่ลิ้นก็ยังแข็ง แค่คำว่า ‘ช่วย’ ก็ยังพูดออกมามิได้

เห็นลู่จิ้งเสียนเดินตุปัดตุเป๋ ไทเฮาก็อดรำคาญใจไม่ได้

ลู่จิ้งเสียนอยากเป็นฮองเฮา แต่ตอนนี้แม้แต่เดินตรงๆ ยังทำไม่ได้ แล้วจะเหมาะสมได้อย่างไร

“เจ้าอยู่ในวังมาตั้งนาน ข้าจะไม่ขอให้เจ้าประพฤติตัวดี แต่อย่างน้อยก็มิควรทำตัวราวกับคนบ้า สภาพน่าเกลียดเช่นนี้ เย่จิ่งอวี้จะชื่นชอบเจ้าได้อย่างไร”

“เสด็จแม่ หม่อมฉัน หม่อมฉันถูกทำร้ายมาเพคะ”

“อะไรนะ”

ไทเฮาไม่เข้าใจ

ลู่จิ้งเสียนออกแรงเปล่งเสียงและพูดออกมาด้วยความยากลำบาก “ถูกตี ถูกตี”

ไทเฮาอุทานอย่างตกใจ “ถูกตี? ใครกันช่างขวัญกล้า ใครกล้าทำร้ายเจ้า เจ้าบาดเจ็บตรงไหน ให้หลิวหมัวมัวตรวจดูสิ”

หลิวหมัวมัวม้วนแขนเสื้อของลู่จิ้งเสียนขึ้นเพื่อตรวจสอบ แต่กลับไม่พบร่องรอยถูกตีที่ใดเลย

ไทเฮากำลังจะถาม แต่กลับได้ยินเสียงดังมาจากลานด้านหน้า จึงอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืน “เกิดอะไรขึ้นอีก”

ชุยไห่เดินเข้ามารายงาน “ขันทีติดตามของเสียนผินมาเจ้าค่ะ แต่มิรู้ด้วยเหตุใด พอเข้ามาในลานก็พากันล้มลงไปกองกับพื้น ราวกับขาใช้การไม่ได้”

ไทเฮามีสีหน้าประหลาดใจ ถือผ้าเช็ดหน้าแล้วเดินไปหน้าประตู เห็นคนสามสี่คนนอนกองอยู่ในลาน มีสองคนลุกขึ้นมา แต่ก้าวไปได้สองก้าวก็ล้มลงอีกครั้ง

หลิวหมัวมัวกระซิบพูด “เป็นไปได้ไหมเพคะว่าถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิง”

ลู่จิ้งเสียนพยายามเดินไปที่ประตู หลังจากผ่านไปสักพัก ลิ้นที่ด้านชาของนางก็ค่อยๆ ดีขึ้น

นางดึงชายกระโปรงของไทเฮาแล้วกล่าวว่า “เสด็จแม่ เป็นเสี่ยวเสวียนจื่อผู้นั้น เขาใช้กระบองจิ้มหม่อมฉัน จากนั้นก็มีอาการเสียววาบไปทั้งตัว”

ทันใดนั้นสีหน้าของไทเฮาพลันเปลี่ยนไป หากคนอื่นได้ยินสิ่งนี้ คงคิดว่าลู่จิ้งเสียนเป็นคนสำส่อนในวังหลัง คำพูดเช่นนี้ ใครฟังก็คิดไปไกล

หากนางไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของอินชิงเสวียน คงคิดว่านางเป็นขันทีปลอมเสียแล้ว

“หุบปาก อย่าพูดเรื่องไร้สาระ หลิวหมัวมัวพาเสียนผินเข้าไป”

“เพคะ”

หลิวหมัวมัวรีบลากลู่จิ้งเสียนเข้าไปด้านใน

ลู่จิ้งเสียนผลักหลิวหมัวมัวแล้วกล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “เสด็จแม่ หม่อมฉันพูดความจริงนะเพคะ”

ไทเฮากลับไปนั่งที่เบาะแล้วกล่าวเสียงขรึมว่า “เสี่ยวเสวียนจื่อคงไม่ทําให้เจ้าเดือดร้อนโดยไม่มีเหตุผล ไม่ใช่ว่าเจ้าหาเรื่องเขาหรอกหรือ”

อินชิงเสวียนตอนนี้เป็นขันทีข้างกายของฮ่องเต้ คงต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะมาหาเรื่องพระสนม

อีกอย่างนางไม่ชอบเย่จิ่งอวี้ ไม่มีทางกำหนดเป้าหมายมาที่ลู่จิ้งเสียน

หลังจากที่ไทเฮาทราบตัวตนของนาง จึงพิจารณาเรื่องนี้ไปด้วย

นางวางแผนออกจากวังเย็น ย่อมต้องมีเป้าหมายบางอย่าง

เนื่องจากนางไม่เปิดเผยตัวตน ก็หมายความว่าไม่อยากพึ่งพาเย่จิ่งอวี้เพื่อขึ้นสู่ตำแหน่ง เช่นนั้นก็เหลือแค่จุดประสงค์เดียวเท่านั้น นั่นก็คือบิดาและพี่ชายที่อยู่เมืองซุ่ยหานอันห่างไกล

บางทีนางกับตนอาจมีเป้าหมายเหมือนกัน นั่นคือลอบสังหารเย่จิ่งอวี้

ขณะครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่อง ก็ได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้ของลู่จิ้งเสียน “หม่อมฉันจะมีปัญหากับเขาได้อย่างไร หม่อมฉันไปหอฉงฮวา แล้วเสี่ยวเสวียนจื่อผู้นั้นก็ไปที่นั่น หม่อมฉันเกรงว่าเขาจะรายงานฝ่าบาท จึงสั่งให้บ่าวไปขวางเขาไว้ แต่เขากลับเอากระบองมาแทงหม่อมฉัน”

ไทเฮาย่นคิ้ว “เจ้าไปหาเรื่องซูฉ่ายเวยอีกแล้วรึ”

วันนั้นนางได้ให้บทเรียนให้ซูฉ่ายเวยไปแล้ว แต่เหตุใดลู่จิ้งเสียนกลับไม่รู้จักรามือ

“หม่อมฉันมิได้ไปหาเรื่อง แค่อยากไปดูน้ำหน้านางสารเลวซูฉ่ายเวย”

ไทเฮาถลึงตาโต

“เจ้าควรใส่ใจคำพูดคำจาของเจ้าบ้าง กลับไปที่วังของเจ้า และเรียนรู้เกี่ยวกับมารยาทภายในวังเพิ่มเติมด้วย”

ลู่จิ้งเสียนวิตกกังวลทันทีในทันที

“เสด็จแม่ ท่านจะปล่อยขันทีที่ทำร้ายหม่อมฉันไปหรือเพคะ”

“เจ้าอยากให้ข้าทำเช่นไร หรืออยากให้ข้านำเรื่องนี้ไปกล่าวกับฝ่าบาท บอกว่าเจ้าไปหาเรื่องซูฉ่ายเวย ถ้าหากเจ้าอยู่ในวังดีๆ จะเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ได้อย่างไร ชุยไห่ ส่งสนมเสียนผินกลับวัง”

“เพคะ”

ชุยไห่เดินเข้ามาจากด้านนอก

ก้มตัวแล้วกล่าวว่า “เชิญพระสนมเสียนผิน”

ลู่จิ้งเสียนยืนขึ้นอย่างไม่เต็มใจ แต่ก็เดินตามชุยไห่ออกไป

หลังจากนางจากไปแล้ว ไทเฮาก็ทุบโต๊ะอย่างโมโห

“นี่สินะที่ว่ากันว่ามือไม่พายเอาเท้าราน้ำ”

หลิวหมัวมัวยืนอยู่อีกด้านก็กล่าวขึ้น “ไทเฮาอย่าทรงกริ้วไป พระสนมกระตือรือร้นที่จะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ แต่พอได้ยินว่าฝ่าบาทเสด็จไปพบหลิงผิน จึงรู้สึกขุ่นเคือง ดังนั้นนางจึงเสด็จไปที่หอฉงฮวา”

ไทเฮาแค่นเสียงหึออกมา “แค่บุตรสาวกรมพิธีการซื่อหลางเล็กๆ คนหนึ่ง จะสามารถก่อคลื่นลมอันใดได้ ตอนนี้ซูฉ่ายเวยถูกแต่งตั้งเป็นผิน นับว่ามาถึงจุดสูงสุดชีวิตนางแล้ว แทนที่จะเสียเวลากับคนที่ไม่มีภัยคุกคาม ไม่สู้เอาเวลาไปปรับปรุงตัวเอง แล้วมองหาโอกาสไม่ดีกว่าหรือ”

หลี่หมัวมัวก้มศีรษะแล้วพูดว่า “ไทเฮาตรัสได้ถูกต้อง แต่เกรงว่าพระสนมเสียนผินคงมิฟัง”

ไทเฮาขมวดคิ้วมุ่น

“เสียนเอ๋อร์หยิ่งผยองเพราะถูกบิดานางตามใจ”

เมื่อพูดถึงลู่ถง สีหน้าของไทเฮาก็แย่อีกครั้ง

ราชเลขาธิการฝ่ายในผู้ทรงเกียรติถูกส่งไปทำนา ใบหน้าแก่ๆ ของนางถูกสองพ่อลูกคู่นี้ทำลายไม่เหลือชิ้นดี

หลี่หมัวมัวเห็นดังนั้นก็รีบพูดขึ้นว่า “ไทเฮาจะเสด็จออกไปเดินเล่นหรือไม่เพคะ เย็นนี้อากาศไม่ร้อน ทั้งยังมีลมพัดเบาๆ สดชื่นมากจริงๆ”

ไทเฮาโบกมือ

“ข้าไม่มีอารมณ์ เรียกคนมานวดขาให้ข้าเถอะ”

“เพคะ”

หลิวหมัวมัวออกจากตำหนักเพื่อเรียกสาวใช้ให้เข้ามา...

เวลานี้ พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว

แสงตะวันลับขอบฟ้าหายไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นสายลมยามค่ำคืนก็นําพาความเย็นมาให้เล็กน้อย

อินชิงเสวียนวิ่งกลับไปยังวังเย็น มอบเงินให้อวิ๋นฉ่าย ไม่มีเวลาได้พูดคุยนัก นางรีบกลับไปยังตำหนักเฉิงเทียน

ทันทีที่มาถึงหน้าประตู ก็ถูกเงาสีขาวโยนลงกับพื้น

“เจ้าเด็กเหลือขอ อยากจะลอบฆ่าข้าหรือไง”

อินชิงเสวียนขยับหัวสุนัขที่พุ่งตัวมาออกไป ก่อนจะเห็นเย่จิ่งอวี้ในชุดคลุมพระจันทร์ขาวกำลังยืนอยู่หน้าประตู

ชุดหิมะขาวปักด้วยด้ายไหมสีเงิน ยามสายลมพัดผ่าน สะท้อนแสงสีเงินจางๆ ดูสง่างามในทันตา หยกไขมันแพะสีขาวสองชิ้นที่ผูกตรงเอว แม้ลวดลายจี้จะไม่ซับซ้อน แต่กลับปกปิดความหรูหรามิได้

“เจ้ายังรู้จักกลับมาด้วยหรือ”

เมื่อมองไปยังบ่าวตัวน้อยที่นอนแผ่หราอยู่บนพื้น เย่จิ่งอวี้ก็กล่าวเสียดสีขึ้นมา

อินชิงเสวียนรีบผลักไป๋เสวี่ยออก และโถมตัวไปคุกเข่าที่พื้น

“บ่าวกับน้องสาวพูดคุยเรื่อยเปื่อยจนลืมเวลาไป ขอฝ่าบาทอภัยโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้เดินมาตรงหน้าอินชิงเสวียน จ้องมองหลังศีรษะของนางแล้วร้องหึออกมา

“ในเมื่อเจ้าให้ความสำคัญกับน้องสาวเพียงนี้ เช่นนั้นข้าจะตอบแทนด้วยการส่งเจ้าไปวังเย็น”

“ไม่ไม่ไม่ แน่นอนว่าฝ่าบาทสำคัญที่สุดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์บนนภาในใจของบ่าว ดุจจันทร์กระจ่างเก้าสวรรค์ บ่าวไม่พบหน้าฝ่าบาทเพียงหนึ่งวัน ก็เหมือนห่างกันสามฤดู ไม่เป็นอันกินอันนอน ความเคารพของบ่าวที่มีต่อฝ่าบาทนั้นเหมือนแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกราก ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่สามารถควบคุมได้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์