“เสด็จแม่ หม่อมฉันกำลังจะตาย!”
ไทเฮาประทับนั่งบนเบาะนุ่มกำลังดื่มน้ำบ๊วยเปรี้ยวเย็นๆ เมื่อได้ยินเสียงของลู่จิ้งเสียน หัวคิ้วก็พลันขมวดมุ่น
“เสียงดังเอะอะอะไรกัน”
ลู่จิ้งเสียนพยายามลุกขึ้นจากประตู แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง
ครึ่งร่างยังคงชา แม้แต่ลิ้นก็ยังแข็ง แค่คำว่า ‘ช่วย’ ก็ยังพูดออกมามิได้
เห็นลู่จิ้งเสียนเดินตุปัดตุเป๋ ไทเฮาก็อดรำคาญใจไม่ได้
ลู่จิ้งเสียนอยากเป็นฮองเฮา แต่ตอนนี้แม้แต่เดินตรงๆ ยังทำไม่ได้ แล้วจะเหมาะสมได้อย่างไร
“เจ้าอยู่ในวังมาตั้งนาน ข้าจะไม่ขอให้เจ้าประพฤติตัวดี แต่อย่างน้อยก็มิควรทำตัวราวกับคนบ้า สภาพน่าเกลียดเช่นนี้ เย่จิ่งอวี้จะชื่นชอบเจ้าได้อย่างไร”
“เสด็จแม่ หม่อมฉัน หม่อมฉันถูกทำร้ายมาเพคะ”
“อะไรนะ”
ไทเฮาไม่เข้าใจ
ลู่จิ้งเสียนออกแรงเปล่งเสียงและพูดออกมาด้วยความยากลำบาก “ถูกตี ถูกตี”
ไทเฮาอุทานอย่างตกใจ “ถูกตี? ใครกันช่างขวัญกล้า ใครกล้าทำร้ายเจ้า เจ้าบาดเจ็บตรงไหน ให้หลิวหมัวมัวตรวจดูสิ”
หลิวหมัวมัวม้วนแขนเสื้อของลู่จิ้งเสียนขึ้นเพื่อตรวจสอบ แต่กลับไม่พบร่องรอยถูกตีที่ใดเลย
ไทเฮากำลังจะถาม แต่กลับได้ยินเสียงดังมาจากลานด้านหน้า จึงอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืน “เกิดอะไรขึ้นอีก”
ชุยไห่เดินเข้ามารายงาน “ขันทีติดตามของเสียนผินมาเจ้าค่ะ แต่มิรู้ด้วยเหตุใด พอเข้ามาในลานก็พากันล้มลงไปกองกับพื้น ราวกับขาใช้การไม่ได้”
ไทเฮามีสีหน้าประหลาดใจ ถือผ้าเช็ดหน้าแล้วเดินไปหน้าประตู เห็นคนสามสี่คนนอนกองอยู่ในลาน มีสองคนลุกขึ้นมา แต่ก้าวไปได้สองก้าวก็ล้มลงอีกครั้ง
หลิวหมัวมัวกระซิบพูด “เป็นไปได้ไหมเพคะว่าถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิง”
ลู่จิ้งเสียนพยายามเดินไปที่ประตู หลังจากผ่านไปสักพัก ลิ้นที่ด้านชาของนางก็ค่อยๆ ดีขึ้น
นางดึงชายกระโปรงของไทเฮาแล้วกล่าวว่า “เสด็จแม่ เป็นเสี่ยวเสวียนจื่อผู้นั้น เขาใช้กระบองจิ้มหม่อมฉัน จากนั้นก็มีอาการเสียววาบไปทั้งตัว”
ทันใดนั้นสีหน้าของไทเฮาพลันเปลี่ยนไป หากคนอื่นได้ยินสิ่งนี้ คงคิดว่าลู่จิ้งเสียนเป็นคนสำส่อนในวังหลัง คำพูดเช่นนี้ ใครฟังก็คิดไปไกล
หากนางไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของอินชิงเสวียน คงคิดว่านางเป็นขันทีปลอมเสียแล้ว
“หุบปาก อย่าพูดเรื่องไร้สาระ หลิวหมัวมัวพาเสียนผินเข้าไป”
“เพคะ”
หลิวหมัวมัวรีบลากลู่จิ้งเสียนเข้าไปด้านใน
ลู่จิ้งเสียนผลักหลิวหมัวมัวแล้วกล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “เสด็จแม่ หม่อมฉันพูดความจริงนะเพคะ”
ไทเฮากลับไปนั่งที่เบาะแล้วกล่าวเสียงขรึมว่า “เสี่ยวเสวียนจื่อคงไม่ทําให้เจ้าเดือดร้อนโดยไม่มีเหตุผล ไม่ใช่ว่าเจ้าหาเรื่องเขาหรอกหรือ”
อินชิงเสวียนตอนนี้เป็นขันทีข้างกายของฮ่องเต้ คงต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะมาหาเรื่องพระสนม
อีกอย่างนางไม่ชอบเย่จิ่งอวี้ ไม่มีทางกำหนดเป้าหมายมาที่ลู่จิ้งเสียน
หลังจากที่ไทเฮาทราบตัวตนของนาง จึงพิจารณาเรื่องนี้ไปด้วย
นางวางแผนออกจากวังเย็น ย่อมต้องมีเป้าหมายบางอย่าง
เนื่องจากนางไม่เปิดเผยตัวตน ก็หมายความว่าไม่อยากพึ่งพาเย่จิ่งอวี้เพื่อขึ้นสู่ตำแหน่ง เช่นนั้นก็เหลือแค่จุดประสงค์เดียวเท่านั้น นั่นก็คือบิดาและพี่ชายที่อยู่เมืองซุ่ยหานอันห่างไกล
บางทีนางกับตนอาจมีเป้าหมายเหมือนกัน นั่นคือลอบสังหารเย่จิ่งอวี้
ขณะครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่อง ก็ได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้ของลู่จิ้งเสียน “หม่อมฉันจะมีปัญหากับเขาได้อย่างไร หม่อมฉันไปหอฉงฮวา แล้วเสี่ยวเสวียนจื่อผู้นั้นก็ไปที่นั่น หม่อมฉันเกรงว่าเขาจะรายงานฝ่าบาท จึงสั่งให้บ่าวไปขวางเขาไว้ แต่เขากลับเอากระบองมาแทงหม่อมฉัน”
ไทเฮาย่นคิ้ว “เจ้าไปหาเรื่องซูฉ่ายเวยอีกแล้วรึ”
วันนั้นนางได้ให้บทเรียนให้ซูฉ่ายเวยไปแล้ว แต่เหตุใดลู่จิ้งเสียนกลับไม่รู้จักรามือ
“หม่อมฉันมิได้ไปหาเรื่อง แค่อยากไปดูน้ำหน้านางสารเลวซูฉ่ายเวย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...