สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 86

หลี่เต๋อฝูที่อยู่ข้างหลังทนฟังไม่ไหว

ทักษะประจบประแจงเช่นนี้ แม้แต่เขาก็ยังละอายใจตัวเองที่เทียบไม่ติด

เย่จิ่งอวี้หางตากระตุก บ่าวน้อยผู้นี้ไปเรียนรู้เรื่องไร้สาระอะไรมาพูดประจบเขานี่

“ลุกขึ้นเถอะ”

เสแสร้งจนฟังต่อไปไม่ไหว

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

อินชิงเสวียนลุกขึ้นยืนแล้วถามอย่างประจบประแจง “ฝ่าบาทจะพาสุนัขไปเดินเล่นหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้พูด “วันนี้อากาศเย็นสบาย ไป๋เสวี่ยก็ถูกขังมาหลายวันแล้ว ดังนั้นถึงเวลาที่จะพามันออกไปเดินเล่น”

“ฝ่าบาทเดินระวังพ่ะย่ะค่ะ”

อินชิงเสวียนยืนอยู่ด้านข้าง

เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ก็ตามมาด้วยกันเถอะ หลี่เต๋อฝู เจ้าถอยไปก่อน”

“พ่ะย่ะค่ะ”

หลี่เต๋อฝูเม้มริมฝีปากอย่างมีความสุข ฝ่าบาทยังคงมีเขาอยู่ในใจ

ฝ่าบาทคงรู้สึกว่าเขาแก่มากแล้ว แข้งขาก็ค่อยไม่ดี เขาคงทนออกไปเดินตามสุนัขไม่ไหว

เย่จิ่งอวี้เอามือไพล่หลังแล้วเดินออกจากประตูตำหนัก

แสงจันทร์สีซีดสะท้อนบนร่างสูงสง่าของเขา ทำให้เงาของเขาทอดยาวขึ้น

เห็นเจ้านายเดินออกไป ไป๋เสวี่ยก็พุ่งออกไปด้วยความดีใจ

อินชิงเสวียนรู้สึกไม่มีความสุขนัก นางปฏิบัติหน้าที่ในช่วงกลางดึกมาสองสามวันแล้ว และยังตั้งตารอที่จะกลับไปนอน แต่ฮ่องเต้สารเลวนี่ดันให้นางพาหมาไปเดินเล่น เหมือนใช้ทาสเป็นอาหารแห้งจริงๆ

อินชิงเสวียนตำหนิไปพลางเหยียบเงาเย่จิ่งอวี้ไปพลางเพื่อระบายอารมณ์

เย่จิ่งอวี้ไม่พูดกล่าวสิ่งใด

เขาดูเหมือนจะเพลิดเพลินไปกับสายลมยามค่ำคืนอันหนาวเย็น ดวงตาหงส์หรี่ลงเล็กน้อย สีหน้าดูสงบสุข

รูปหน้าคมคายดูนุ่มนวลขึ้น เขาเดินไปตามเส้นทางด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย

เมื่อมองไปยังท่าทางที่ผ่อนคลายของเย่จิ่งอวี้ ความรู้สึกของอินชิงเสวียนก็ค่อยๆ ผ่อนคลายเช่นกัน

ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่ดีจริงๆ การได้ออกมาเดินเล่นก็นับว่าไม่เลวเลย

ไม่รู้ว่าเดินมานานแค่ไหนแล้ว แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเพลงโศกแว่วลอยมา

จากนั้นเสียงพิณโบราณก็ดังคลอขึ้นมา ทำให้บรรยากาศพลันเยือกเย็นอย่างอธิบายไม่ถูก

เย่จิ่งอวี้หยุดเดินแล้วเอียงหูฟัง

อินชิงเสวียนที่เหยียบเงาเพลินๆ จึงเกือบจะชนเย่จิ่งอวี้ นางรีบยั้งเท้าอย่างรวดเร็ว

พอได้ยินเพลงนี้ก็รู้สึกหดหู่อยู่ภายในใจ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคุณย่าที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง

ถึงแม้ว่านางจะถูกอารองรับไปดูแล แต่นางก็คงคิดถึงตนมากเช่นกัน

ภาพคุณย่าหลังค่อมที่จูงมือนางไปโรงเรียนแวบขึ้นมาตรงหน้า ความรู้สึกปวดใจทะลักล้นอยู่ภายใน

“เฮ้อ!”

อินชิงเสวียนถอนหายใจ

เย่จิ่งอวี้ได้ยกก้าวเท้าไปยังทิศทางที่มีเสียงดังขึ้นมาแล้ว

ทันใดนั้นความคิดของอินชิงเสวียนก็แตกสลาย นางรีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว

ในใจก็คิดว่า: แน่นอนว่าทักษะร้องเพลงหรือเต้นรำล้วนเป็นอาวุธในการดึงดูดฮ่องเต้ ซึ่งเจ้าคนมักมากผู้นี้ต้องตอบสนองต่อตัณหา

เพียงพริบตา พวกเขาก็มาถึงหน้าประตู

อินชิงเสวียนอาศัยแสงจันทร์อ่านตัวอักษรบนป้ายว่าหอสุ่ยอวิ้น

อยู่ในวังมานานขนาดนี้ อินชิงเสวียนย่อมรู้ว่า สถานที่ที่มีคำว่า ‘หอ’ ล้วนเป็นที่อยู่อาศัยของหญิงงาม

“ฝ่าบาทต้องการให้บ่าวเรียกคนมาเปิดประตูหรือไม่”

เย่จิ่งอวี้นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ทันใดนั้นก็หมดอารมณ์ขึ้นมา

“ไม่ต้องแล้ว”

อินชิงเสวียนพลันถอนหายใจ เย่จิ่งอวี้ผู้นี้ดันเกิดเนียมอายขึ้นมา

เย่จิ่งอวี้เดินหน้าต่อไปแล้ว

เขาเพียงคิดถึงเสด็จแม่ของเขาเพราะเพลงนี้ จึงตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะหนึ่ง

ปีนั้น เสด็จแม่ของเขาก็ได้รับความโปรดปราณจากอดีตฮ่องเต้เพราะเสียงร้องอันไพเราะ

แต่บัดนี้ทั้งสองถูกแยกออกจากกันโดยสวรรค์ เมื่อหวนนึกถึงการตายที่น่าสลดใจของเสด็จแม่ เย่จิ่งอวี้ก็ตัวสั่นอย่างควบคุมมิได้

“ฝ่าบาททรงเป็นอะไรหรือไม่”

อินชิงเสวียนมองเห็นอย่างชัดเจน จึงอดถามขึ้นมาไม่ได้

เย่จิ่งอวี้ตอบห้วนๆ “ไม่”

อินชิงเสวียนสัมผัสถึงอารมณ์หดหู่ของเย่จิ่งอวี้อย่างชัดเจน จึงพูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท หากรู้สึกไม่สบายพระทัย มิสู้เสด็จไปหาหลิงผินหรือไม่”

เย่จิ่งอวี้แค่นเสียงหึ “นางให้ประโยชน์เจ้ามากเพียงใด”

“มิได้”

อินชิงเสวียนรีบแบมือ

“บ่าวเพียงคิดว่าพระสนมหลิงผินมีอุปนิสัยสดใสน่าสนใจ บางทีอาจจะทำให้ฝ่าบาทมีความสุขขึ้นมาได้”

นางได้รับผลประโยชน์มากมายจากหลิงผินจริง รับเงินของผู้อื่นมาแล้วก็ต้องทำอะไรบางอย่างตอบแทนผู้อื่นบ้างสิ ในอนาคตจะได้ทำเงินได้มากขึ้น

เย่จิ่งอวี้ถามอย่างมิได้ใส่ใจ “พูดมาสิ นางน่าสนใจอย่างไร”

“เอ่อ...นี่...พระสนมหลิงผินเป็นคนอารมณ์ขันไม่เลวเลยพ่ะย่ะค่ะ”

อินชิงเสวียนไอแห้งๆ ก่อนจะเสริมไปว่า “ฝ่าบาทอายุไม่น้อยแล้ว จำต้องมีสตรีสักคนเพื่อขยายกิ่งก้านของแคว้นต้าโจวของเราโดยเร็วที่สุด”

เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเย็นชา “บังอาจ ใครสอนให้เจ้าพูดจาเหลวไหล”

เมื่อเห็นสีหน้าอึมครึมของเย่จิ่งอวี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกหนาวสั่นที่หลังคอ นางรีบคุกเข่าตุ้บลงพื้นในทันที

“ไม่มีใครสอนบ่าว บ่าวพูดเช่นนี้จากมุมมองของบุรุษ ฝ่าบาทหาใช่นักบวช โดยธรรมชาติแล้วยังมีความต้องการในเรื่องนั้น อีกอย่าง มนุษย์เรามีความปรารถนาทั้งเจ็ดอารมณ์ทั้งหก...”

สองนิ้วเชยคางอินชิงเสวียน จับหน้านางให้เงยหน้าขึ้นมามอง

ดวงตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้ฉายแววเย็นเยือกราวกับดวงตาเสือร้าย เต็มไปด้วยความก้าวร้าว

เขาพูดทีละคำ “ข้าไม่มี หรือว่า...เจ้ามี?”

อินชิงเสวียนกลืนน้ำลายลงคออึกๆ

“บ่าวไม่มีเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้จ้องมองนางด้วยรอยยิ้มพราวเสน่ห์

“ถ้าหากเจ้ามี ข้าจะสั่งคนตอนครึ่งล่างของเจ้าซะ”

แม่งเถอะ เหี้ยมโหดใช้ได้

อินชิงเสวียนฟังจนเหงื่อเย็นท่วมตัว

“บ่าวถูกตอนอย่างหมดจด ไม่จำเป็นต้องรบกวนฝ่าบาทอีก”

เย่จิ่งอวี้ส่งเสียงเย็นชาก่อนจะปล่อยมือ

“กลับ”

เขายกนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ขึ้นมาวางไว้ที่ปาก จากนั้นก็เป่าเสียงนกหวีด ไม่นานไป๋เสวี่ยก็พุ่งทะยานกลับมา

อินชิงเสวียนปาดเหงื่อ คิดในใจว่า: ซูฉ่ายเวยเอ๋ย มิใช่ว่าข้าไม่ช่วยเจ้านะ ข้าพยายามแล้วจริงๆ แต่คนแซ่เย่นี้ไม่ตกหลุมพรางเสียที

ระหว่างทางกลับ เย่จิ่งอวี้ก็หมดอารมณ์อย่างสิ้นเชิง เขาเดินไปตามทางอย่างรวดเร็วดุจสายลม เพียงไม่นานก็กลับมาถึงตำหนักเฉิงเทียน

อินชิงเสวียนวิ่งมาตลอดทาง เมื่อกลับมาที่ตำหนัก นางก็ทรุดตัวนั่งที่พื้นพลางหอบหายใจแฮ่กๆ

หลี่เต๋อฝูสังเกตเห็นเย่จิ่งอวี้มีสีหน้าไม่ดี จึงรีบติดตามไปรับใช้ ผ่านไปสักพัก เขาก็ออกมาข้างนอก

ชี้นิ้วไปที่หัวของอินชิงเสวียน “ไม่ง่ายเลยที่ฝ่าบาทจะมีอารมณ์ออกไปเดินเล่นวันนี้ แต่เจ้ากลับอ่านสีหน้าคนไม่ออก ทำไมถึงทำให้ฝ่าบาทโกรธขึ้นมา มันเกิดอะไรขึ้น”

อินชิงเสวียนถอยหลังกรูด แล้วกล่าวจำยอมว่า “ข้าเพียงบอกให้ฝ่าบาทเสด็จไปหาสตรี ฝ่าบาทจึงโกรธขึ้นมา”

หลี่เต๋อฝูถลึงตาใส่อย่างเหี้ยมโหด “เจ้าพูดวาจาเช่นนี้ไม่ได้ ห้ามพูดอีกเด็ดขาด เข้าใจรึไม่?”

“เหตุใดเล่า หรือฝ่าบาทไม่ต้องการสตรี หากมีความต้องการ จะแก้ปัญหาอย่างไร”

ในฐานะตัวแทนของผู้หญิงสมัยใหม่ อินชิงเสวียนไม่อายกับเรื่องแบบนี้ ซ้ำยังอยากรู้อยากเห็นอีกด้วย

ท้ายที่สุดแล้วผู้ชายก็เป็นสัตว์ที่ใช้ส่วนล่างคิดแทนสมอง เขาจะทนได้อย่างไร

ทันใดนั้นหลี่เต๋อฝูก็นึกฉากที่จำกัดอายุในการรับชมในวันนั้น ก่อนกล่าวต่อไปว่า “จะแก้ปัญหา เจ้าไม่รู้วิธีรึไง”

“ข้าจะรู้วิธีอะไรได้เล่า” อินชิงเสวียนแสดงสีหน้าสับสน

หลี่เต๋อฝูหูแดงเถือกไปทั่วใบหู

“หุบปาก อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีก ฝ่าบาทมีคนที่ชอบในใจแล้ว สตรีดาษดื่นพวกนั้น พระองค์ไม่เอาไว้ในสายตาหรอก”

อินชิงเสวียนอดถามไม่ได้ว่า “ฝ่าบาททรงชอบใครหรือขอรับ”

หลี่เต๋อฝูกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เด็กสาวตัวเล็กอายุไม่กี่ปี รีบกลับไปซะ เจ้าต้องอยู่ดูแลฝ่าบาทหลังเที่ยงคืน”

เอ๊ะ?

อายุไม่กี่ปี?

เด็กสาว?

อินชิงเสวียนตกใจจนอ้าปากค้าง

นึกถึงใบหน้าที่กำลังยิ้มอย่างชั่วร้ายของเย่จิ่งอวี้ที่กำลังกดเด็กอายุไม่กี่ขวบบนเตียงมังกร อินชิงเสวียนพลันหนาวสั่นไปทั่วร่าง

เอาแล้วไง ที่แท้ไอ้เย่จิ่งอวี้นี่มันเป็นพวกใคร่เด็ก นี่มันโรคจิตชัดๆ!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์