หลี่เต๋อฝูที่อยู่ข้างหลังทนฟังไม่ไหว
ทักษะประจบประแจงเช่นนี้ แม้แต่เขาก็ยังละอายใจตัวเองที่เทียบไม่ติด
เย่จิ่งอวี้หางตากระตุก บ่าวน้อยผู้นี้ไปเรียนรู้เรื่องไร้สาระอะไรมาพูดประจบเขานี่
“ลุกขึ้นเถอะ”
เสแสร้งจนฟังต่อไปไม่ไหว
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
อินชิงเสวียนลุกขึ้นยืนแล้วถามอย่างประจบประแจง “ฝ่าบาทจะพาสุนัขไปเดินเล่นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้พูด “วันนี้อากาศเย็นสบาย ไป๋เสวี่ยก็ถูกขังมาหลายวันแล้ว ดังนั้นถึงเวลาที่จะพามันออกไปเดินเล่น”
“ฝ่าบาทเดินระวังพ่ะย่ะค่ะ”
อินชิงเสวียนยืนอยู่ด้านข้าง
เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ก็ตามมาด้วยกันเถอะ หลี่เต๋อฝู เจ้าถอยไปก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เต๋อฝูเม้มริมฝีปากอย่างมีความสุข ฝ่าบาทยังคงมีเขาอยู่ในใจ
ฝ่าบาทคงรู้สึกว่าเขาแก่มากแล้ว แข้งขาก็ค่อยไม่ดี เขาคงทนออกไปเดินตามสุนัขไม่ไหว
เย่จิ่งอวี้เอามือไพล่หลังแล้วเดินออกจากประตูตำหนัก
แสงจันทร์สีซีดสะท้อนบนร่างสูงสง่าของเขา ทำให้เงาของเขาทอดยาวขึ้น
เห็นเจ้านายเดินออกไป ไป๋เสวี่ยก็พุ่งออกไปด้วยความดีใจ
อินชิงเสวียนรู้สึกไม่มีความสุขนัก นางปฏิบัติหน้าที่ในช่วงกลางดึกมาสองสามวันแล้ว และยังตั้งตารอที่จะกลับไปนอน แต่ฮ่องเต้สารเลวนี่ดันให้นางพาหมาไปเดินเล่น เหมือนใช้ทาสเป็นอาหารแห้งจริงๆ
อินชิงเสวียนตำหนิไปพลางเหยียบเงาเย่จิ่งอวี้ไปพลางเพื่อระบายอารมณ์
เย่จิ่งอวี้ไม่พูดกล่าวสิ่งใด
เขาดูเหมือนจะเพลิดเพลินไปกับสายลมยามค่ำคืนอันหนาวเย็น ดวงตาหงส์หรี่ลงเล็กน้อย สีหน้าดูสงบสุข
รูปหน้าคมคายดูนุ่มนวลขึ้น เขาเดินไปตามเส้นทางด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย
เมื่อมองไปยังท่าทางที่ผ่อนคลายของเย่จิ่งอวี้ ความรู้สึกของอินชิงเสวียนก็ค่อยๆ ผ่อนคลายเช่นกัน
ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่ดีจริงๆ การได้ออกมาเดินเล่นก็นับว่าไม่เลวเลย
ไม่รู้ว่าเดินมานานแค่ไหนแล้ว แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเพลงโศกแว่วลอยมา
จากนั้นเสียงพิณโบราณก็ดังคลอขึ้นมา ทำให้บรรยากาศพลันเยือกเย็นอย่างอธิบายไม่ถูก
เย่จิ่งอวี้หยุดเดินแล้วเอียงหูฟัง
อินชิงเสวียนที่เหยียบเงาเพลินๆ จึงเกือบจะชนเย่จิ่งอวี้ นางรีบยั้งเท้าอย่างรวดเร็ว
พอได้ยินเพลงนี้ก็รู้สึกหดหู่อยู่ภายในใจ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคุณย่าที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง
ถึงแม้ว่านางจะถูกอารองรับไปดูแล แต่นางก็คงคิดถึงตนมากเช่นกัน
ภาพคุณย่าหลังค่อมที่จูงมือนางไปโรงเรียนแวบขึ้นมาตรงหน้า ความรู้สึกปวดใจทะลักล้นอยู่ภายใน
“เฮ้อ!”
อินชิงเสวียนถอนหายใจ
เย่จิ่งอวี้ได้ยกก้าวเท้าไปยังทิศทางที่มีเสียงดังขึ้นมาแล้ว
ทันใดนั้นความคิดของอินชิงเสวียนก็แตกสลาย นางรีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
ในใจก็คิดว่า: แน่นอนว่าทักษะร้องเพลงหรือเต้นรำล้วนเป็นอาวุธในการดึงดูดฮ่องเต้ ซึ่งเจ้าคนมักมากผู้นี้ต้องตอบสนองต่อตัณหา
เพียงพริบตา พวกเขาก็มาถึงหน้าประตู
อินชิงเสวียนอาศัยแสงจันทร์อ่านตัวอักษรบนป้ายว่าหอสุ่ยอวิ้น
อยู่ในวังมานานขนาดนี้ อินชิงเสวียนย่อมรู้ว่า สถานที่ที่มีคำว่า ‘หอ’ ล้วนเป็นที่อยู่อาศัยของหญิงงาม
“ฝ่าบาทต้องการให้บ่าวเรียกคนมาเปิดประตูหรือไม่”
เย่จิ่งอวี้นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ทันใดนั้นก็หมดอารมณ์ขึ้นมา
“ไม่ต้องแล้ว”
อินชิงเสวียนพลันถอนหายใจ เย่จิ่งอวี้ผู้นี้ดันเกิดเนียมอายขึ้นมา
เย่จิ่งอวี้เดินหน้าต่อไปแล้ว
เขาเพียงคิดถึงเสด็จแม่ของเขาเพราะเพลงนี้ จึงตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะหนึ่ง
ปีนั้น เสด็จแม่ของเขาก็ได้รับความโปรดปราณจากอดีตฮ่องเต้เพราะเสียงร้องอันไพเราะ
แต่บัดนี้ทั้งสองถูกแยกออกจากกันโดยสวรรค์ เมื่อหวนนึกถึงการตายที่น่าสลดใจของเสด็จแม่ เย่จิ่งอวี้ก็ตัวสั่นอย่างควบคุมมิได้
“ฝ่าบาททรงเป็นอะไรหรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...