สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 87

เมื่อกลับถึงห้องพักขันที เสี่ยวอานจื่อหลับไปแล้ว มีเสียงกรนดังขึ้นเป็นระยะๆ

อินชิงเสวียนเหลือบมองเขาอย่างอิจฉา พลันล้มตัวนอนลงบนเตียง

ได้แต่มองเพดาน ไม่มีท่าทีง่วงนอนเลย

อุบัติเหตุของเย่จิ่งอวี้ทำนางรู้สึกสะเทือนใจ แต่มันก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น

ยุคปัจจุบัน นางอ่านพงศาวดารที่เกี่ยวกับราชวงศ์มาค่อนข้างเยอะ เช่นนั้นถึงมันจะเดินเรื่องแปลกกว่านี้อีกนางก็ยอบรับได้

ทว่าสิ่งที่อินชิงเสวียนควรคิดถึงมากกว่าคือจากนี้ไปจะเดินเส้นทางของตัวเองอย่างไร

วันนี้ใช้กระบองไฟฟ้าจี้ลู่จิ้งเสียนไป ถือว่าได้ปลดปล่อยความโกรธไปหนึ่ง แต่กลับไม่รู้ว่าทางด้านไทเฮากำลังคิดอะไรอยู่

ตอนนี้นางต้องใช้ตัวเองให้เป็นประโยชน์ อาจจะพูดอะไรมากไม่ได้ อีกทั้งห้ามหลงระเริงเกินเหตุ หากทำให้ปีศาจเฒ่าโมโหเข้า ตัวตนของเจ้าของร่างเดิมต้องถูกเปิดเผย ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็คงจบเห่

แต่หากให้อินชิงเสวียนวางยาเย่จิ่งอวี้ นางก็ไม่กล้าจริงๆ

ถึงนางจะเกลียดคนสารเลวผู้นี้ แต่นางก็อยากมีชีวิตมากกว่า

เย่จิ่งอวี้สามารถนั่งบัลลังก์กษัตริย์ได้แสดงว่าต้องไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหลี่เต๋อฝูคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายอีก

เรื่องนี้ไม่ง่ายแน่ๆ

ถ้าอยากรอดก็คงทำได้เพียงนอบน้อมคล้อยตาม คอยรับมือกับทั้งสองฝ่าย

พอคิดได้เช่นนี้ อินชิงเสวียนถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้

นางก็แค่อยากหาเงินเพียงเล็กน้อย ใช้ชีวิตอย่างอิสระนอกวังสักสักสองสามวัน ทำไมสวรรค์ต้องสร้างปัญหาให้นางด้วย

หากเข้าตาจนก็ต้องเสี่ยงเอาเจ้าหมาน้อยออกมาก่อน

ครอบครัวเหล่าหลิวไท่ไท่ดูพอใช้ได้ น่าจะช่วยดูแลลูกให้ได้

แต่ยากตรงที่นางจะใช้เหตุผลใดออกไปนี่สิ

เว้นเสียแต่ว่าเย่จิ่งอวี้จะส่งนางออกไปนอกวังเอง หากนางเป็นคนเอ่ยออกมา เขาต้องสงสัยแน่

อินชิงเสวียนยิ่งคิดยิ่งปวดหัว จึงปล่อยสมองโล่ง

ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน แผนการคงไม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วหรอก

พลิกตัวไปมาสักพักก็เริ่มง่วง เพิ่งหลับตาลงก็ถูกปลุกโดยเสี่ยวอานจื่อ

“ตื่นๆ ไปทำงานได้แล้ว”

อินชิงเสวียนหมดคำจะพูด ขยี้ตาพลางเอ่ยขึ้น “เสี่ยวอานจื่อพรุ่งนี้เปลี่ยนเวรให้ข้าเป็นก่อนเที่ยงคืนได้หรือไม่”

เสี่ยวอานจื่อชี้นิ้วพูดขึ้น “นี่เจ้าโง่รึ ก่อนเที่ยงคืนมันแย่มากนะ ฝ่าบาทเสด็จไปแล้ว พวกเขายังต้องตื่นขึ้นมาทำความสะอาดอีก ส่วนพวกทำงานหลังเที่ยงคืนอย่างพวกเราได้นอนทั้งคืนจนกว่าฝ่าบาทจะเสด็จมา”

นอนบ้าบออะไรกัน ฝ่าบาทเสด็จไปอากาศก็ร้อนแล้ว ไม่มีทั้งแอร์ทั้งพัดลม นอนไม่หลับอยู่แล้ว

“ไม่ ข้าไม่ชอบกะหลังเที่ยงคืน เปลี่ยนดีกว่า”

เสี่ยวอานจื่อพูดอย่างจนปัญญา “เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าไปคุยกับท่านอาจารย์ดูว่าท่านจะตกลงหรือไม่”

อินชิงเสวียนหาวพลางเอ่ยขึ้น “ขอบใจนะ”

ทั้งสองมาถึงประตูนอกตำหนักเฉิงเทียนแล้ว ต่างคนต่างนั่งลงคนละเสา

เมื่อคืนอินชิงเสวียนไม่ได้นอนดีนักจึงง่วงมากก็เลยผล็อยหลับไป

ยามสาม เย่จิ่งอวี้ตื่นแล้ว

หลี่เต๋อฝูแต่งองค์ทรงเครื่องให้เขาเรียบร้อย เตรียมว่าราชการเช้า

เมื่อเดินออกมาก็เห็นอินชิงเสวียนกอดเสานอนหลับ

หลี่เต๋อฝูรีบเอ่ยขึ้น “เสี่ยวเสวียนจื่อผู้นี้ชักจะหนักข้อขึ้นทุกวัน กระหม่อมจะไปปลุกเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้ฉีกยิ้มออกมาเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้น “ไม่ต้องหรอก ให้เขานอนเถอะ”

อินชิงเสวียนร่วมเสนอแผนการหลายครั้ง ทำคุณงามความดีเป็นหนึ่ง นอนต่ออีกสักหน่อยก็ไม่มีผลกระทบอะไร

ที่พูดไปเมื่อวานก็แค่ขู่ขวัญเขาเท่านั้น

พอนึกถึงท่าทางสั่นเทิ้มของอินชิงเสวียน เย่จิ่งอวี้ยกยิ้มมุมปาก ถลกฉลองพระองค์เสด็จขึ้นราชรถ

ผู้คนตื่นขึ้นตามแสงสลัวยามเช้า ต่างทยอยกันมาที่ตำหนักจินหลวน

บรรดาขุนนางเข้ามารอฝ่าบาทแล้ว พูดคุยทักทายกันเสียงเบา เมื่อเห็นฝ่าบาท ต่างก็รีบจัดเสื้อคลุม คุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ขอพระองค์ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”

เย่จิ่งอวี้สวมมงกุฎฮ่องเต้ นั่งลงที่บัลลังก์อันสูงส่ง กล่าวเสียงเรียบ “ลุกขึ้นเถิด”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

หลังจากที่เหล่าขุนนางลุกขึ้น หานสือเดินออกมาทันที

พลันคุกเข่าทูล “ฝ่าบาท ต้นกล้าอ่อนได้งอกเงยขึ้นบนผืนดินนอกเมืองหลวง ข้าวสาลีก็เจริญงงอกงามขึ้นในแคว้นต้าโจวของพวกเรา นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้ตอบอืมออกมาแล้วถามขึ้น “มีประมาณกี่เมืองที่ต้นกล้างอกขึ้นมา”

หานสือก้มหัวทูลออกไป “กราบทูลฝ่าบาท เมล็ดพันธุ์งอกงามเกือบทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”

ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้เต็มไปด้วยความปิติยินดี จับพนักวางแขนพลันกล่าวด้วยความดีใจ “ดี ต้องส่งกำลังคนไปอีกเพื่อคอยระมัดระวัง หากเกิดข้อผิดพลาดใด ข้าจะสืบถามจากเจ้าเพียงผู้เดียว”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมจะดูแลข้าวสาลีให้ดีพ่ะย่ะค่ะ”

ตั้งแต่ได้ฟังคำพูดพล่ามของอินชิงเสวียน หานสือก็ยิ่งตั้งตารอให้เมล็ดข้าวสาลีเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นข้าวเกาเหลียง ถั่วหรือข้าวโพดก็ไม่อร่อยเท่ากับแป้งข้าวสาลี โดยเฉพาะเปี๊ยะมันหมู หานสือกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้

เย่จิ่งอวี้ละสายตาหันไปทางลู่ทง

“ใต้เท้าลู่ สองสามวันนี้ท่านได้ประสบการ์ณ์จากการเพาะปลูกหรือไม่”

ลู่ทงที่กำลังสัปหงกได้ยินก็รีบเอ่ยขึ้น “ในที่สุดกระหม่อมก็ได้ตระหนักถึงความลำบากของเกษตรกร จากนี้กระหม่อมจะขยันและประหยัดในการดำเนินชีวิต เพื่อเป็นการไม่เสียแรงที่ฝ่าบาทได้ทุ่มเทความพยายามให้กระหม่อมไปเรียนรู้พ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้ยิ้มมุมปากกล่าวออกไป “ในเมื่อใต้เท้าลู่มีความตั้งใจเช่นนี้ เปิดคลังอาหารตัวเองเพื่อเก็บธัญพืชสักสามวันเป็นการช่วยเหลือข้าวปลาอาหารให้ประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก และถือเป็นการแสดงความเกรงใจของท่านที่มีต่อเกษตรกรสิ”

ลู่ทงหน้าเขียวขึ้นมาครู่หนึ่ง ฝ่าบาทกำลังลงโทษเขาชัดๆ

มิอาจเอ่ยปากโต้เถียงได้ แถมยังต้องปั้นหน้ายิ้มออกมา

“กระหม่อมจะทำตามที่ฝ่าบาทรับสั่ง กลับไปจะเปิดคลังอาหารทันทีพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้ตอบอืม แล้วถามอีก “กรมโยธามีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง”

ฉินไฮ่ฉิวยืนขึ้นพูด “การดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น เพียงแต่ว่าส่วนกลไกเครื่องจักรกระหม่อมไม่เข้าใจเล็กน้อย กำลังคิดว่าหลังจากเลิกประชุมเช้าก็จะตรงไปที่ห้องหนังสือเพื่อขอคำชี้แนะจากฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้พยักหน้าเล็กน้อย “อืม เจ้าถอยไปก่อน”

ทันใดนั้นก็มีนายทหารนายหนึ่งเดินออกมา

รูปร่างสูงสง่า ใบหน้าแสดงถึงความรักชาติ หน้าตาเที่ยงธรรม อายุประมาณเจ็ดสิบกว่าปี หนวดเคราและผมสีขาวโพลน ขาขวาเป๋เล็กน้อย

“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้กวาดสายตามองเขาหัวจรดเท้า ขมวดคิ้วพูดขึ้น “ท่านแม่ทัพมีเรื่องอันใดหรือ”

แม่ทัพกวนฮั่นหลินเอ่ยเสียงทุ้ม “เมื่อคืนวานกระหม่อมได้รับรายงานผลการรบ แคว้นเจียงวูได้ร่วมกับตงหลิว สังหารนายทหารไปหลายนาย หากไม่รีบส่งคนไปจัดการเพื่อสร้างความน่าเกรงขาม ไม่ถึงหนึ่งเดือนฟางเฉิงฉือสูญสลายแน่พ่ะย่ะค่ะ”

แววตาเย่จิ่งอวี้เย็นชาขึ้นมาทันที พลางเอ่ยเสียงขรึม “แคว้นเจียงวู ชนเผ่าเล็กๆ เห็นแคว้นต้าโจวไร้น้ำยางั้นรึ”

กวนฮั่นหลินเอ่ยขึ้น “ตอนนี้เราเสียทหารและนายพลไปเรื่อยๆ ที่ชายแดนกำลังขาดขวัญกำลังใจ หากส่งแม่ทัพไปรบชนะ กำลังใจคงจะดีขึ้นไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ"”

อาจเป็นเพราะเขาพูดมากไปในคราวเดียว กวนฮั่นหลินจึงไอออกมาหลายครั้งติดกัน จากนั้นหอบหายใจพูดขึ้น “ขอฝ่าบาททรงย้ายครอบครัวอินจ้งกลับมา กระหม่อมไม่เชื่อว่าท่านแม่ทัพอินจะโง่เขลาจนยอมสละความสัมพันธ์ครอบครัวกับเชื้อพระวงศ์ แล้วสมคบคิดก่อกบฏกับศัตรูภายนอกพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้สีหน้าขรึมลง ตบฉาดลงที่พนักวางแขน

“เกรงว่าท่านแม่ทัพอาวุโสจะเลอะเลือนแล้ว ในเมื่อพูดเช่นนี้ออกมา จดหมายระหว่างตระกูลอินและกลุ่มกบฏยังอยู่ในมือข้า ทุกถ้อยคำทุกประโยคล้วนเขียนด้วยลายมือของอินจ้ง จดหมายทั้งหกส่วนข้าล้วนอ่านหมดแล้ว ท่านคิดว่าข้าใส่ร้ายเขางั้นรึ”

“ฝ่าบาท!”

กวนฮั่นหลินอยากจะพูดต่อ ทว่าเย่จิ่งอวี้ลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อ

กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เลิกประชุม”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์