สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 88

ในราชรถม้าใบหน้าเย่จิ่งอวี้นิ่งขรึมราวกับสายน้ำลึก ดวงตาพญาหงษ์คู่นั้นเยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง

หลี่เต๋อฝูวิ่งตามช้าๆ อยู่ด้านหลัง ไม่กล้าแม้แต่หายใจเสียงดัง

กวนฮั่นหลินเป็นถึงทหารผ่านศึกสามแผ่นดิน แม่ทัพอินจ้งก็เป็นลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจ เขาต้องการปกป้องอินจ้งนั้นย่อมสมเหตุสมผลอยู่แล้ว

เพียงแต่จดหมายตอบกลับฉบับนั้นเป็นลายมือของอินจ้งจริงๆ กวนฮั่นหลินที่เป็นถึงแม่ทัพย่อมมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะได้อ่าน

วันนี้เขาเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีก หรือว่าจะแก่เลอะเลือนไปแล้ว

ขณะที่กำลังคิด ราชรถก็เดินทางมาถึงห้องหนังสือเรียบร้อย

เย่จิ่งอวี้รีบลงจากราชรถ พลันตรงไปที่ห้องโถง

ดวงตาพญาหงษ์สั่นไหว

เขาก็เคยสงสัยว่าต้องมีบางอย่างถูกปกปิดไว้

หรือจะเป็นเย่จิ่งเย่าสุนัขจนตรอกที่ลงมือใส่ร้ายอินจ้ง

แต่ในจดหมายมีขนนกยูงสามเส้นที่มีเพียงแคว้นเจียงวูเท่านั้นที่มี อีกทั้งปลายขนยังมีจุดสีแดงชาดที่เป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์แคว้นเจียงวูที่คนทั่วไปไม่สามารถครอบครองได้

หลักฐานชี้ชัดขนาดนี้จะพูดอย่างไรได้อีก

นึกย้อนไปถึงตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงประชวรหนัก อินจ้งคอยระแวดระวังให้เขาทุกทาง แววตาเย่จิ่งอวี้เย็นชาขึ้นอีก

แม้อินจ้งจะไม่สนิทสนมกับเย่จิ่งเย่า ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยให้ความสนใจเขา

หากไม่เห็นแก่ผลงานการรบที่เลื่องลือไปทั่ว เกรงว่าเขาคงถูกประหารไปนานแล้ว ขุนนางก่อกบฏแล้วยังมีหน้ากลับมาเมืองหลวงได้อย่างไร

เมื่อนึกย้อนถึงเรื่องราวต่างๆ ในปีก่อน เย่จิ่งอวี้ก็ใจเต้นระส่ำ

ทันใดนั้นได้ยินเสียงหลี่เต๋อฝูเอ่ยขึ้นเบาๆ “ฝ่าบาท เสนาบดีกรมโยธาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ระงับความกลัดกลุ้มในใจ สีหน้ากลับมาน่าเกรงขามเฉกเช่นฮ่องเต้ที่ควรเป็น

พลางกล่าวเสียงเรียบ “ให้เขาเข้ามา แล้วไปตามเสี่ยวเสวียนจื่อมาด้วย”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ไม่นานนัก ฉินไฮ่ฉิวก็เดินเข้ามาในห้องโถง

“คารวะฝ่าบาท”

เขาถลกเสื้อคลุมขึ้นกำลังจะคุกเข่า ทว่าเย่จิ่งอวี้ปรามไว้

“ไม่ต้องมากพิธี ข้าให้หลี่เต๋อฝูไปตามผู้ที่สามารถไขข้อสงสัยของเจ้าแล้ว รอประเดี๋ยวแล้วกัน”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ฉินไฮ่ฉิวยืนรออยู่ด้านข้าง

ไม่นานอินชิงเสวียนก็เดินเข้ามาจากนอกห้องโถง

“คารวะฝ่าบาท”

“ไม่ต้องมากพิธี”

เย่จิ่งอวี้นั่งบนเก้าอี้ไม้หนานมู่สีทองพนักพิงสูงเอ่ยเสียงเรียบ “เสนาบดีฉินมีคำถามบางอย่างเกี่ยวกับการสร้างเครื่องจักร เจ้าคลายข้อสงสัยให้เขาด้วย”

“พ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าไม่เข้าใจส่วนใดหรือขอรับ”

อินชิงเสวียนหันไปหาฉินไฮ่ฉิวพร้อมกับรอยยิ้มอันถ่อมตัว

ฉินไฮ่ฉิวตกใจเล็กน้อย

เขารู้ว่าฝ่าบาทไม่ได้วาดภาพนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าคนที่ฝ่าบาทเรียกมาจะเป็นขันทีหนุ่มคนหนึ่ง

เกิดความสงสัยเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ฉินไฮ่ฉิวหยิบรูปวาดแบบการสร้างช่องประตูกักน้ำออกมา

ชี้ไปด้านบนพลางเอ่ยขึ้น “ขั้นตอนการสร้างประตูกักน้ำช่างลึกลับ มีกลไกหลายอันที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ขุนนางชั้นล่างก็ไม่รู้วิธีสร้าง”

อินชิงเสวียนเดินไปดู พูดเป็นน้ำไหลไฟดับ “กลไกความสมดุลของประตูกักน้ำมาจากแรงถ่วงและแรงดันน้ำ ต้องทำประตูกั้นน้ำและแผ่นเหล็กให้เอียง ทั้งสี่ด้านต้องมีความแข็งแร็งมากถึงจะทนแรงดันจากการไหลของน้ำได้ ส่วนนี้จะต้องทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กขอรับ”

ฉินไฮ่ฉิวสีหน้าอึดอัดใจ “คอนกรีตเสริมเหล็กคืออะไรหรือ”

อินชิงเสวียนเพิ่งฉุกคิดได้ว่ายุคนี้แม้แต่ปูนซีเมนต์ก็ยังไม่มี แล้วจะมีของพรรค์นี้ได้อย่างไร

ดูท่าคงต้องอธิบายเป็นระบบให้ชายชราผู้นี้ฟังแล้วล่ะ

นางดึงฉินไฮ่ฉิวมาที่ประตู ทำท่าทีให้เขานั่งลงที่บันได

ตัวเองก็นั่งลงข้างๆ อธิบายอย่างละเอียด “คอนกรีตเสริมเหล็กทำจากปูนซีเมนต์และเหล็กเส้นเป็นโครงสร้างหลัก มีความแข็งแรงมากกว่าดินเผาทั่วไปหลายเท่า”

ฉินไฮ่ฉิวเอ่ยถามขึ้นทันที “ปูนซีเมนต์คือสิ่งใด”

อินชิงเสวียนตอบ “ปูนซีเมนต์คือส่วนผสมของหินปูน ผงแร่เหล็กและดินเหนียวขอรับ”

ฉินไฮ่ฉิวเออออแล้วเอ่ยต่อ “ถ้าจะผสมให้เป็นปูนซีเมนต์ต้องมีอัตราส่วนหรือไม่”

“แน่นอนขอรับ”

อินชิงเสวียนบอกอัตราส่วนโดยประมาณแก่ฉินไห่ฉิว เขาหยิบแผ่นฮู้ว่าราชการที่ทำจากงาช้างและพู่กันขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากแขนเสื้อทันที พลันจุ่มน้ำลายแล้วรีบจดบันทึก

อินชิงเสวียนไม่ได้มีท่าทีหัวเราะเยาะเขา ชายชราผู้นี้ต้องการสร้างประโยชน์ให้กับประชาชน ไม่ละอายใจที่จะเอ่ยถามขันทีหนุ่ม เป็นคนที่น่าเคารพเลื่อมใสเสียจริง

ฉินไฮ่ฉิวเขียนเสร็จอย่างรวดเร็วแล้วถามขึ้น “แผ่นเหล็กประตูกั้นน้ำและเหล็กด้านล่างมีกฎเกณฑ์อย่างไร”

อินชิงเสวียนพูดพลางแสดงท่าทางไปด้วย

เมื่อเห็นดวงตาที่เป็นประกาย ใบหน้าที่เบิกบานของอินชิงเสวียน เย่จิ่งอวี้ก็อารมณ์ดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เพียงแต่อึดอัดใจเล็กน้อยเพราะสงสัยว่าเหตุใดนางถึงได้รู้อะไรมากมายเช่นนี้

ทฤษฎีเหล่านี้ไม่เคยปรากฏในปากู่เหวิน[footnoteRef:1]ของแคว้นต้าโจว [1: ปากู่เหวิน บันทึกความเรียงประเภทหนึ่ง]

บ่าวหนุ่มผู้นี้เรียนรู้มาจากที่ใด

หากคอนกรีตเสริมเหล็กที่นางเอ่ยถึงสามารถทนแรงปะทะจากน้ำท่วมได้จริงก็ต้องมีความแข็งแรงทนทานมากหากนำมาสร้างกำแพงเมืองได้คงป้องกันการรุกรานได้อย่างดีเยี่ยมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบชายแดน

ตั้งแต่ฮ่องเต้องค์ก่อนขึ้นครองบัลลังก์ได้มีการปกครองแคว้นด้วยความเมตตากรุณาเสมอมา ไม่เคยรุกรานแคว้นอื่น แต่พวกคนชั่วช้านั้นไม่ได้ซาบซึ้งในบุญคุณนี้ กลับคิดว่าแคว้นต้าโจวเกรงกลัวพวกมัน

และเพราะความเมตตาของฮ่องเต้องค์ก่อน ทำให้เกิดการละเลยการฝึกทหารในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การทหารเริ่มหละหลวม

หากไท่จู่[footnoteRef:2]ยังครองราชย์อยู่ แคว้นเล็กอย่างเจียงวูคงสิ้นไปนานแล้ว [2: ไท่จู่ จักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์]

ไม่คิดเลยว่าปัจจุบันแคว้นเล็กๆ จะกล้าร่วมมือกัน นี่มันข่มเหงรังแกกันเกินไปแล้ว

พอคิดเช่นนี้ นัยน์ตาของเย่จิ่งอวี้ก็ฉายแววความโกรธออกมา

เขาหันขวับพลันสั่งหลี่เต๋อฝู “ถ่ายทอดคำสั่งออกไป วันนี้ข้าจะไปดูแลการฝึกที่สนามฝึกด้วยตัวเอง”

“พ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากหลี่เต๋อฝูออกไป ฉินไฮ่ฉิวก็ลุกขึ้นยืนที่บันได

เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดีใจ “รอบตัวฝ่าบาทเต็มไปด้วยคนเก่ง กระหม่อมเทียบไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

ได้ยินฉินไฮ่ฉิวเอ่ยชมอินชิงเสวียน สีหน้าเย่จิ่งอวี้ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

“คราวนี้เข้าใจทั้งหมดแล้วหรือ”

ฉินไฮ่ฉิวโค้งคำนับทูลออกไป “กระหม่อมเข้าใจโดยคร่าวๆ แล้ว บางเรื่องยังต้องรอพิสูจน์ตอนดำเนินการ หากมีสิ่งใดไม่เข้าใจ กระหม่อมคงมาขอเข้าเฝ้าอีก ฝ่าบาทอย่าได้รำคาญกระหม่อมเลยพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้ยิ้มเบาๆ พลางเอ่ยขึ้น “นี่เป็นเรื่องของบ้านเมือง ข้าจะรำคาญได้อย่างไร หากเจ้ามีคำถามเมื่อไหร่ก็เข้าวังมา”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท เช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลาไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินไฮ่ฉิวโค้งคำนับ ถือเสื้อคลุมแล้ววิ่งเหยาะๆ ออกไป

อินชิงเสวียนก็ลุกขึ้น รู้สึกคอแห้งเล็กน้อย

เย่จิ่งอวี้ออกคำสั่งทันที “ตามคนมา เอาน้ำมาให้เสี่ยวเสวียนจื่อ”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

อินชิงเสวียนรับน้ำมาดื่มไปหนึ่งแก้ว

ในใจยังคงรู้สึกดีใจ ตอนนี้นางอยากถอนคำพูดวิจารณ์การเลื่อนต่ำแหน่งและการร่ำรวยขึ้นของตัวเองเหล่านั้นเสียจริง

อย่างน้อยหานสือกับฉินไฮ่ฉิวก็ยังเป็นขุนนางที่ทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง

เย่จิ่งอวี้เดินกลับไปในห้องโถงแล้วถอดมงกุฎฮ่องเต้ออก

“ไปเอาชุดเกราะข้ามา”

อินชิงเสวียนไม่รู้ว่าของเหล่านี้อยู่ที่ใด นางจึงยืนอยู่เฉยๆ ด้านข้าง

ครู่ต่อมาเสี่ยวอานจื่อก็ถือชุดเกราะนักรบสีแดงดำเดินเข้ามา

เมื่อสวมชุดเกราะแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็ดูเปลี่ยนไปทันที

เส้นเลือดที่ปูดนูนบนแขนอันเรียบเนียนปรากฎขึ้นตามการเคลื่อนไหวของเขา เข็มขัดหนังแท้ที่รัดแน่นช่วยเน้นส่วนโค้งช่วงเอวให้เด่นชัด ดูเป็นชายชาตรีที่แข็งแกร่ง ดวงตาเรียวรีนัยน์ตาฉายแววความอำมหิตเล็กน้อย

เมื่อเห็นรูปลักษณ์องอาจห้าวหาญของเขา อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงครั้งแรกที่นางได้พบกับเย่จิ่งอวี้ในคืนนั้น

ยิ่งแต่งตัวแบบนี้ยิ่งดูดี!

ขณะที่กำลังคิดก็ได้ยินเสียงเย่จิ่งอวี้เอ่ยขึ้น “เสี่ยวเสวียนจื่อ ไปสนามฝึกกับข้า”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์