สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 89

เขาไปสนามฝึก จะให้ตัวเองตามไปด้วยทำไมกัน

อินชิงเสวียนไม่อยากไปอย่างมาก ดวงอาทิตย์ที่แผดเผาเช่นนี้ ยืนนานเพียงวินาทีเดียวก็สามารถรีดน้ำมันออกมาได้ คงไม่สบายเท่ากับการยืนหน้าก้อนน้ำแข็งมหึมาหรอก

เย่จิ่งอวี้ก้าวเท้าออกมาจากห้องหนังสือ

“จูงม้าหลวงของข้ามา”

จากนั้นไม่นาน ม้าสีดำเงางามลำตัวสูงใหญ่ก็ถูกจูงออกมา

แม้อินชิงเสวียนจะดูม้าไม่เป็น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะชมเชยออกมา

“ม้าดี”

ม้าตัวนี้สูงกว่าม้าธรรมดากึ่งหนึ่ง มีดวงตาที่สดใสมีชีวิตชีวา มีบังเหียนผ้าลื่นสีเหลืองห้อยอยู่บนตัว พร้อมกับพู่ห้อยลงมาที่ท้องม้า สี่เท้าของมันแข็งแรงและสุขภาพดี มองผ่านๆ ก็รู้ว่าไม่ใช่ม้าธรรมดา

เย่จิ่งอวี้พลิกตัวขึ้นม้าด้วยท่าทางที่สง่างาม

“ขี่ม้าเป็นหรือไม่”

เขาเลิกคิ้ว มองไปยังอินชิงเสวียน

เมื่อรู้ว่าขี่ม้าออกไปได้ อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

รีบพยักหน้ากล่าวว่า “เป็นพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินเทียนจูงม้าสีแดงลูกท้อมาให้นาง

อินชิงเสวียนจับบังเหียนพร้อมกับขึ้นม้า ทันใดนั้นก็ค้นพบบางสิ่ง ม้าของต้าโจวไม่มีโกลนม้า

ตอนเด็กขี่ม้าน้อยในบ้านก็ไม่มีโกลนม้าเช่นกัน แม้แต่อานม้าก็ไม่มี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร

แต่หากเป็นม้าศึกก็จะแตกต่างกันออกไป ทหารนั่งบนหลังม้าเพื่อฆ่าศัตรู พวกเขาสามารถใช้โกลนเพื่อให้ร่างกายมั่นคง ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีความได้เปรียบ

ระหว่างที่คิดๆ อยู่นั้น เย่จิ่งอวี้ได้ขี่ม้าออกไปแล้ว ม้าสีดำรีบวิ่งไปที่ประตูเสวียนเต๋อ ซึ่งเป็นทางเข้าหลักของพระราชวังราวกับสายฟ้า

ฉินเทียน หลี่ชีและคนอื่นๆ รีบตามไป อินชิงเสวียนก็จับบังเหียนไว้แน่น พร้อมกับตามคนเหล่านั้นไป เสียงตะโกนที่น่าตกใจของหลี่เต๋อฝูหายสาบสูญไปในสายลมอย่างรวดเร็ว

“เสี่ยวเสวียนจื่อ เจ้าดูแลฝ่าบาทให้ดีนะ...”

เวลาเพียงสองเค่อ ทุกคนก็มาถึงลานกว้างที่มีขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

แม่ทัพหลายสิบนายในชุดเกราะ คุกเข่าด้วยความเคารพบนแท่นต่อสู้ และด้านหลังพวกเขาคือทหารที่ไม่สวมเสื้อกลุ่มหนึ่งคุกเข่าอยู่

เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ดึงบังเหียน ทุกคนตะโกนทันที “ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี”

เสียงของคนหลายพันคน แต่กลับไร้ซึ่งพลัง เย่จิ่งอวี้ได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น

เขาพลิกตัวลงจากม้า พลางพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “สงสัยว่าข้าวในค่ายทหารจะหมดเสียแล้ว พวกเจ้ากินข้าวไม่อิ่มงั้นรึ”

นับตั้งแต่เขาขึ้นครองบัลลังก์ เงินเดือนและเสบียงของทหารก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของที่กษัตริย์องค์ก่อนเคยให้ เงินถูกใช้ไปแล้ว แต่กลับใช้ดูแลพวกขี้เมาหยำเปกลุ่มนี้

เมื่อเห็นว่าฝ่าบาททรงกริ้ว เหล่านายพลเปลี่ยนสีหน้าทันที ผู้เป็นแม่ทัพคุกเข่าลง พลางกล่าวว่า “ฝ่าบาทโปรดประทานอภัย หลายวันนี้อากาศร้อนเกินไป ทำให้ทหารร่างกายอ่อนแอ มีคนไม่น้อยที่เป็นลมแดด และหมดสติไปในสนามฝึกพ่ะย่ะค่ะ...”

เย่จิ่งอวี้พูดขึ้นอย่างโมโห “ยังกล้าเถียงอีก เมื่อถึงคราที่ศัตรูบุกเข้าโจมตี ยังต้องดูฝนฟ้าอากาศด้วยงั้นรึ เจ้าเป็นทหารของต้าโจว หากไม่สามารถเอาชนะความลำบากเพียงน้อยนิดนี้ได้ จะปกป้องบ้านเมืองได้อย่างไร”

เหล่าแม่ทัพต่างสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

“พวกกระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก วันนี้ข้าจะยืนใต้แสงแดดกับพวกเจ้า และฝึกทหารไปพร้อมกับพวกเจ้า”

เย่จิ่งอวี้เดินขึ้นไปยังแท่นฝึกทหาร พลางนั่งลงบนเก้าอี้

นายพลหลายคนเห็นว่าฮ่องเต้ทรงกำกับกองทหารด้วยพระองค์เอง จึงรีบคุกเข่าลงคำนับ

“กระหม่อมจะรีบไปฝึกซ้อมเลยพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินเทียน หลี่ชีและเหล่าทหารองครักษ์มายังข้างกายเย่จิ่งอวี้ แบ่งเป็นสองข้าง

อินชิงเสวียนก็เดินตามไปด้วย

สถานที่แห่งนี้โล่งกว้างและไม่มีที่กำบัง ทุกคนต้องเผชิญกับแสงแดด หน้าผากของเย่จิ่งอวี้มีเหงื่อไหลออกมา แต่กลับยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเหมือนภูเขาไท่ซาน

ทหารที่อยู่ด้านล่างก็ไม่กล้าเกียจคร้านอีกต่อไป หลังจากการฝึกซ้อมหนึ่งรอบ ก็ได้จัดรูปแบบการรบ เช่นการจัดแถวยาวเป็นแพ การจัดแถวแบบปีกนกเป็นต้น

อินชิงเสวียนเป็นแฟนพันธุ์แท้สามก๊ก นางจึงพอเข้าใจเรื่องการจัดวางกำลังทหารอยู่บ้าง

ตอนนี้เมื่อเห็นทหารกำลังฝึกรูปแบบเหล่านี้จริงๆ ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย และแทบลืมเรื่องความร้อนไปเลย

แต่หลังจากมองดูพวกเขามาสักพัก นางก็พบว่าคนเหล่านี้ดูดีเพียงภายนอก การจัดรูปแบบภายในใช้ไม่ได้เลย อีกทั้งยังไม่มีจิตสังหารอย่างที่ทหารพึงมี เมื่อเทียบกับทหารยุคใหม่แล้ว คนพวกนี้ยังตามหลังอยู่มาก

หากคนเหล่านี้ไปทำศึกในสนามรบ หากสามารถชนะศัตรูได้นั่นจะเป็นเรื่องแปลกมาก

เย่จิ่งอวี้ยิ่งขมวดคิ้วแน่น ผู้ที่ไม่ชำนาญการทหารอย่างอินชิงเสวียนยังสามารถมองออก แล้วเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร

ไม่แปลกที่ส่งทหารออกไปติดๆ กัน แต่กลับเอาชนะเจียงวูไม่ได้ พวกเลวระยำหมาพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าเปลืองเงินเดือนและอาหาร

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ก็อดที่จะโมโหไม่ได้

เขาถีบเก้าอี้กระเด็น ผู้คนต่างไปยังลานฝึกอย่างว่องไว

“พวกสวะ”

เหล่าทหารเห็นเพียงเงาของกำปั้นแวบผ่านมา ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกเย่จิ่งอวี้ต่อยลงไปที่พื้น

“หากพวกเจ้ายังไม่อาจเอาชนะข้าได้ ก็ไม่ต้องรับเสบียงทหารอีก”

เย่จิ่งอวี้ตะคอกเสียงกร้าว พลางเตะอีกสองคนล้มลง

เหล่าทหารต่างพากันงงงวย

ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าฮ่องเต้จะลงสนามตัวด้วยตนเอง จึงถอยกลับไปทันที

“ห้ามถอย วันนี้หากผู้ใดกล้าถอย ข้าจะตัดหัวสุนัขตัวนั้นทิ้งเสีย”

ในระหว่างที่พูด เย่จิ่งอวี้ก็ได้ต่อยทหารอีกสามสี่คนกระเด็น

เหล่าทหารไม่กล้าถอยในทันที แต่ก็ไม่กล้าต่อสู้กับฮ่องเต้ ทุกคนต่างยืนกองรวมกันเพื่อรอการปะทะ

เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของพวกเขา สายตาของเย่จิ่งอวี้ก็ดุเดือดขึ้นมาก เขาทำเสียงฮึดฮัดติดต่อกันหลายครั้ง ในพริบตาเดียวก็มีทหารยี่สิบถึงสามสิบคนถูกโจมตีจนล้มลงกับพื้น

ขณะเดียวกันนั้น จู่ๆ ก็มีคนตะโกนขึ้นท่ามกลางฝูงชน “หากพวกกระหม่อมประลองกับฝ่าบาท ฝ่าบาทจะตัดสินโทษพวกกระหม่อมหรือไม่”

“หากเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ข้าจะตบรางวัลเป็นทองคำพันชั่ง”

เย่จิ่งอวี้ไม่ได้หยุดมือลง เขาเตะหารอีกสามนายกระเด็น

“เช่นนั้นกระหม่อมจะขอประลองกับพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ”

ชายร่างสูงราวๆ หนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรเดินออกมาจากค่ายทหาร ท่อนบนของเขาสวมเสื้อสีน้ำตาลแก่ มีเข็มขัดผ้าสีแดงคาดเอว ดวงตาคมคายดุจระฆังทองแดง

ยังไม่ทันสิ้นเสียง กำปั้นก็ฟาดลงมาที่เย่จิ่งอวี้

เย่จิ่งอวี้หลบตัวทัน เตะเหินฟ้าไปยังข้อมือของเขา ชายคนนั้นเปลี่ยนกระบวนท่าอย่างรวดเร็วแล้วย่อตัวลงรวบช่วงล่างของเย่จิ่งอวี้

“ทำได้ดี”

เป็นเรื่องยากที่จะพบคนที่สามารถต่อสู้กับเขาได้ถึงสองกระบวนท่า สายตาของเย่จิ่งอวี้อดไม่ได้ที่จะแสดงความตื่นเต้นออกมา

แม่ทัพหลายคนด้านล่างแท่นประลองกลับตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก

ชายมุทะลุผู้นี้มาจากที่ใดกัน สองวันนี้ด่านหน้าแพ้สงครามติดๆ กัน ฮ่องเต้จึงอารมณ์ไม่ดีแน่นอน การให้เขาระบายอารมณ์ออกมาก็นับว่าพอแล้ว เจ้าหมอนี่กลับกล้าต่อสู้กับฝ่าบาทจริงๆ

นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ?

ซ่งเฉียวอานแม่ทัพผู้น่าเกรงขามตะคอกเสียงกร้าวในทันที “จางเถี่ย เจ้าอวดดีเกินไปแล้ว ยังไม่รีบถอยออกมาอีก”

จางเถี่ยกลับเป็นคนซื่อตรง เขามาเข้าร่วมกองทัพเพราะครอบครัวยากจนและแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ เมื่อได้ยินฝ่าบาทตรัสว่าจะตบรางวัลทองคำพันช่าง สายตาแห่งความดีใจส่องแสงแวววับออกมา

สำหรับเย่จิ่งอวี้ที่อยู่ด้านหน้าจางเถี่ยไม่ใช่ฮ่องเต้อีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าเป็นกองทองคำเปล่งประกายแวววับ

นอกจากนั้น เขาแทบไม่เห็นเย่จิ่งอวี้อยู่ในสายตา

ฮ่องเต้ที่ชีวิตอยู่ดีกินดีจะเก่งกาจมากเพียงใดก็ตาม แม้ว่าเขาจะเอาชนะคนได้มากมาย แต่ก็เป็นเพราะทุกคนอ่อนข้อให้เขาเท่านั้น

เขาต้องเอาเงินก้อนนี้มาให้ได้!

แต่ทว่า จางเถี่ยกลับคิดผิด

นับตั้งแต่วันที่เสด็จอาออกจากพระราชวังและถูกคนปองร้าย เย่จิ่งอวี้ก็ฝึกเรียนวิชาการต่อสู้อย่างหนัก เรียกได้ว่าเขามีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา เขาสามารถฆ่าหมาป่าได้ตอนอายุได้สิบสองปี ก่อนที่เขาจะขึ้นครองบัลลังก์ เขาได้นำกองกำลังทหารเดินทัพอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด ผู้คนต่างพากันหวาดกลัว

ในระหว่างที่จางเถี่ยเหม่อลอย หมัดเหล็กของเย่จิ่งอวี้ก็ฟาดลงที่ศีรษะของเขา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์