เขาไปสนามฝึก จะให้ตัวเองตามไปด้วยทำไมกัน
อินชิงเสวียนไม่อยากไปอย่างมาก ดวงอาทิตย์ที่แผดเผาเช่นนี้ ยืนนานเพียงวินาทีเดียวก็สามารถรีดน้ำมันออกมาได้ คงไม่สบายเท่ากับการยืนหน้าก้อนน้ำแข็งมหึมาหรอก
เย่จิ่งอวี้ก้าวเท้าออกมาจากห้องหนังสือ
“จูงม้าหลวงของข้ามา”
จากนั้นไม่นาน ม้าสีดำเงางามลำตัวสูงใหญ่ก็ถูกจูงออกมา
แม้อินชิงเสวียนจะดูม้าไม่เป็น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะชมเชยออกมา
“ม้าดี”
ม้าตัวนี้สูงกว่าม้าธรรมดากึ่งหนึ่ง มีดวงตาที่สดใสมีชีวิตชีวา มีบังเหียนผ้าลื่นสีเหลืองห้อยอยู่บนตัว พร้อมกับพู่ห้อยลงมาที่ท้องม้า สี่เท้าของมันแข็งแรงและสุขภาพดี มองผ่านๆ ก็รู้ว่าไม่ใช่ม้าธรรมดา
เย่จิ่งอวี้พลิกตัวขึ้นม้าด้วยท่าทางที่สง่างาม
“ขี่ม้าเป็นหรือไม่”
เขาเลิกคิ้ว มองไปยังอินชิงเสวียน
เมื่อรู้ว่าขี่ม้าออกไปได้ อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
รีบพยักหน้ากล่าวว่า “เป็นพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเทียนจูงม้าสีแดงลูกท้อมาให้นาง
อินชิงเสวียนจับบังเหียนพร้อมกับขึ้นม้า ทันใดนั้นก็ค้นพบบางสิ่ง ม้าของต้าโจวไม่มีโกลนม้า
ตอนเด็กขี่ม้าน้อยในบ้านก็ไม่มีโกลนม้าเช่นกัน แม้แต่อานม้าก็ไม่มี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
แต่หากเป็นม้าศึกก็จะแตกต่างกันออกไป ทหารนั่งบนหลังม้าเพื่อฆ่าศัตรู พวกเขาสามารถใช้โกลนเพื่อให้ร่างกายมั่นคง ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีความได้เปรียบ
ระหว่างที่คิดๆ อยู่นั้น เย่จิ่งอวี้ได้ขี่ม้าออกไปแล้ว ม้าสีดำรีบวิ่งไปที่ประตูเสวียนเต๋อ ซึ่งเป็นทางเข้าหลักของพระราชวังราวกับสายฟ้า
ฉินเทียน หลี่ชีและคนอื่นๆ รีบตามไป อินชิงเสวียนก็จับบังเหียนไว้แน่น พร้อมกับตามคนเหล่านั้นไป เสียงตะโกนที่น่าตกใจของหลี่เต๋อฝูหายสาบสูญไปในสายลมอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวเสวียนจื่อ เจ้าดูแลฝ่าบาทให้ดีนะ...”
เวลาเพียงสองเค่อ ทุกคนก็มาถึงลานกว้างที่มีขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
แม่ทัพหลายสิบนายในชุดเกราะ คุกเข่าด้วยความเคารพบนแท่นต่อสู้ และด้านหลังพวกเขาคือทหารที่ไม่สวมเสื้อกลุ่มหนึ่งคุกเข่าอยู่
เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ดึงบังเหียน ทุกคนตะโกนทันที “ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี”
เสียงของคนหลายพันคน แต่กลับไร้ซึ่งพลัง เย่จิ่งอวี้ได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น
เขาพลิกตัวลงจากม้า พลางพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “สงสัยว่าข้าวในค่ายทหารจะหมดเสียแล้ว พวกเจ้ากินข้าวไม่อิ่มงั้นรึ”
นับตั้งแต่เขาขึ้นครองบัลลังก์ เงินเดือนและเสบียงของทหารก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของที่กษัตริย์องค์ก่อนเคยให้ เงินถูกใช้ไปแล้ว แต่กลับใช้ดูแลพวกขี้เมาหยำเปกลุ่มนี้
เมื่อเห็นว่าฝ่าบาททรงกริ้ว เหล่านายพลเปลี่ยนสีหน้าทันที ผู้เป็นแม่ทัพคุกเข่าลง พลางกล่าวว่า “ฝ่าบาทโปรดประทานอภัย หลายวันนี้อากาศร้อนเกินไป ทำให้ทหารร่างกายอ่อนแอ มีคนไม่น้อยที่เป็นลมแดด และหมดสติไปในสนามฝึกพ่ะย่ะค่ะ...”
เย่จิ่งอวี้พูดขึ้นอย่างโมโห “ยังกล้าเถียงอีก เมื่อถึงคราที่ศัตรูบุกเข้าโจมตี ยังต้องดูฝนฟ้าอากาศด้วยงั้นรึ เจ้าเป็นทหารของต้าโจว หากไม่สามารถเอาชนะความลำบากเพียงน้อยนิดนี้ได้ จะปกป้องบ้านเมืองได้อย่างไร”
เหล่าแม่ทัพต่างสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
“พวกกระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก วันนี้ข้าจะยืนใต้แสงแดดกับพวกเจ้า และฝึกทหารไปพร้อมกับพวกเจ้า”
เย่จิ่งอวี้เดินขึ้นไปยังแท่นฝึกทหาร พลางนั่งลงบนเก้าอี้
นายพลหลายคนเห็นว่าฮ่องเต้ทรงกำกับกองทหารด้วยพระองค์เอง จึงรีบคุกเข่าลงคำนับ
“กระหม่อมจะรีบไปฝึกซ้อมเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเทียน หลี่ชีและเหล่าทหารองครักษ์มายังข้างกายเย่จิ่งอวี้ แบ่งเป็นสองข้าง
อินชิงเสวียนก็เดินตามไปด้วย
สถานที่แห่งนี้โล่งกว้างและไม่มีที่กำบัง ทุกคนต้องเผชิญกับแสงแดด หน้าผากของเย่จิ่งอวี้มีเหงื่อไหลออกมา แต่กลับยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเหมือนภูเขาไท่ซาน
ทหารที่อยู่ด้านล่างก็ไม่กล้าเกียจคร้านอีกต่อไป หลังจากการฝึกซ้อมหนึ่งรอบ ก็ได้จัดรูปแบบการรบ เช่นการจัดแถวยาวเป็นแพ การจัดแถวแบบปีกนกเป็นต้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...