จางเถี่ยโผบินถอยหลัง แต่ยังคงช้าไปหนึ่งก้าว
ไหล่ของเขาถูกกระแทกอย่างแรง และร่างอันใหญ่โตของเขาก็ล้มลงกับพื้นเสียงดังกึกก้อง
อินชิงเสวียนที่อยู่บนแท่นประลองตกใจจนอ้าปากค้าง
นางรู้ว่าเย่จิ่งอวี้มีวิทยายุทธ์ แต่ไม่คิดว่าฝีมือของเย่จิ่งอวี้จะเก่งกาจถึงเพียงนี้
ชายร่างสูงเช่นนี้กลับถูกเขากระแทกลงกับพื้นอย่างง่ายดาย
ฉินเทียนยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ “เสี่ยวเสวียนจื่อเพิ่งเห็นฝ่าบาทแสดงฝีมือเป็นครั้งแรกแน่นอน พวกเราต่างก็โดนฝ่าบาทตีมาไม่น้อยเหมือนกัน”
อินชิงเสวียนพยักหน้าด้วยใจจริง
“ฝ่าบาททรงเก่งกาจเสียจริง”
แม้ว่านางไม่รู้วิชามวย แต่กลับมองออกว่าเย่จิ่งอวี้มีฝีมือที่ดีมาก สง่างามเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นรองนักแสดงบู๊ในยุคใหม่
ฝีมือขนาดนี้หากฝึกไม่ถึงสิบปี ทำเช่นนี้ไม่ได้แน่นอน
หลี่ชีพูดขึ้นอย่างภูมิใจว่า “ฝ่าบาทไม่เพียงมีวรยุทธ์ที่เก่งกล้า ศิลปะสี่แขนงทั้งดีดพิณ หมากล้อม เขียนพู่กัน และวาดภาพก็ทรงชำนาญเป็นอย่างมาก เมื่อเจ้าอยู่กับพระองค์นานมากขึ้น เจ้าก็จะรู้ไปทุกสิ่ง”
“ฝ่าบาททรงชำนาญศิลปะสี่แขนงด้วยหรือ”
อินชิงเสวียนตกใจเล็กน้อย
ตอนเด็กๆ เย่จิ่งอวี้โตขึ้นมาอย่างไรกันเนี่ย
คิดๆ ดูแล้วก็น่าอึดอัดแปลกๆ
ฉินเทียนพูดขึ้นอย่างรู้สึกเป็นเกียรติ “แน่นอนทีเดียว ก่อนที่ฮ่องเต้จะเสด็จขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักในนามราชาแห่งความสุดยอดทั้งห้า”
“ความสุดยอดทั้งห้าคือสิ่งใด”
อินชิงเสวียนถามด้วยความมึนงง
ฉินเทียนแยกนิ้วออกจากกันพร้อมพูดว่า “พิณ หมากล้อม พู่กัน วาดภาพ และวรยุทธ์”
อินชิงเสวียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ เมื่อนึกถึงภาพที่เย่จิ่งอวี้หมกตัวอยู่ในห้องหนังสือหลังจากเสร็จราชกิจเช้า อินชิงเสวียนก็เชื่อในทันที
ชีวิตวัยเยาว์ของเย่จิ่งอวี้น่าจะไม่ต่างจากเด็กในยุคปัจจุบัน นอกจากเรียนทั้งวันแล้ว ยังต้องเรียนพิเศษเสริมหลากหลายประเภท เรียกได้ว่าไม่มีความสุขอะไรเลย
ไม่น่าแปลกใจที่เขาทำหน้าบึ้งตึงทั้งวัน แต่ช่างน่าสงสารเหลือเกิน...
ด้านล่างแท่นประลอง จางเถี่ยคลานขึ้นมาพร้อมถลึงตาโต
เมื่อครู่เขาไม่ทันได้ระวัง ครั้งนี้จะต้องล้มเย่จิ่งอวี้ให้ได้
ทว่า ในเวลาเพียงชั่วครู่ จางเถี่ยก็ถูกถีบกระเด็นไปอีกครั้ง
เขาคลานขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมส่งเสียงคำราม และพุ่งตรงไปยังเย่จิ่งอวี้
เย่จิ่งอวี้กระตุกยิ้มมุมปาก พร้อมพูดขึ้นเบาๆ “ทำได้ดี”
เขาค้อมตัวลง นิ้วที่เหมือนคีมหนีบจับไหล่ของจางเถี่ยไว้แน่น พลางคำรามเสียงทุ้ม ยกตัวจางเถี่ยขึ้นมาและฟาดลงไปกับพื้นดังปัง
ดวงตาของจางเถี่ยเป็นประกายสีดำหลังจากถูกโยน แต่ในใจกลับไม่ยอมแพ้
ส่งเสียงจิ๊ปากออกมา พร้อมกับคลานขึ้นมาอีกครั้ง
เย่จิ่งอวี้พยักหน้าอย่างอดไม่ได้
แม้คนผู้นี้จะบุ่มบ่ามมุทะลุ แต่เขามีพลังที่จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ หากเขาเป็นกองกำลังฝ่ายหน้าจะสามารถเพิ่มขวัญกำลังใจได้อย่างแน่นอน
ในระหว่างการคิดวิเคราะห์ กำปั้นของจางเถี่ยพุ่งตรงมาที่ใบหน้าของเขา เย่จิ่งอวี้เอี้ยวคอหนี จึงหลบกำปั้นเหล็กได้ทัน นิ้วเรียวยาวได้เคลื่อนไหวครั้งสุดท้าย และกุมแขนของจางเถี่ยไว้แน่น เตะเข้าใต้รักแร้ของเขา จางเถี่ยร้องออกมาอย่างเจ็บปวด และล้มลงไปอีกครั้ง
หลังจากหายใจไม่กี่ครั้ง เขาก็คลานขึ้นมาอีก
เย่จิ่งอวี้กระโจนร่างขึ้นไปยังแท่นฝึก
เขากุมมือไว้ด้านหลัง หรี่สายตาลงเล็กน้อย มองไปยังจางเถี่ยและถามว่า “เจ้าเป็นคนจากที่ใด มีตำแหน่งใดในกองทัพ”
ซ่งเฉียวอานตะโกนเสียงดัง “จางเถี่ย ฝ่าบาททรงถามเจ้าอยู่นะ”
จางเถี่ยที่มึนงงจากการถูกโยน ก็ได้สติทันทีเมื่อได้ยินคำว่าฝ่าบาท พลางคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมพูดว่า “กระหม่อมเป็นคนเสียนหยาง และไม่มีตำแหน่งในกองทัพพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้พยักหน้าเบาๆ
“ดี วันนี้ข้าจะให้ตำแหน่งรองแม่ทัพแก่เจ้า และตบรางวัลให้สองร้อยตำลึง”
จางเถี่ยได้ยินดังนั้น จึงรีบก้มหัวคำนับอย่างตื่นเต้นทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...