สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 90

จางเถี่ยโผบินถอยหลัง แต่ยังคงช้าไปหนึ่งก้าว

ไหล่ของเขาถูกกระแทกอย่างแรง และร่างอันใหญ่โตของเขาก็ล้มลงกับพื้นเสียงดังกึกก้อง

อินชิงเสวียนที่อยู่บนแท่นประลองตกใจจนอ้าปากค้าง

นางรู้ว่าเย่จิ่งอวี้มีวิทยายุทธ์ แต่ไม่คิดว่าฝีมือของเย่จิ่งอวี้จะเก่งกาจถึงเพียงนี้

ชายร่างสูงเช่นนี้กลับถูกเขากระแทกลงกับพื้นอย่างง่ายดาย

ฉินเทียนยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ “เสี่ยวเสวียนจื่อเพิ่งเห็นฝ่าบาทแสดงฝีมือเป็นครั้งแรกแน่นอน พวกเราต่างก็โดนฝ่าบาทตีมาไม่น้อยเหมือนกัน”

อินชิงเสวียนพยักหน้าด้วยใจจริง

“ฝ่าบาททรงเก่งกาจเสียจริง”

แม้ว่านางไม่รู้วิชามวย แต่กลับมองออกว่าเย่จิ่งอวี้มีฝีมือที่ดีมาก สง่างามเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นรองนักแสดงบู๊ในยุคใหม่

ฝีมือขนาดนี้หากฝึกไม่ถึงสิบปี ทำเช่นนี้ไม่ได้แน่นอน

หลี่ชีพูดขึ้นอย่างภูมิใจว่า “ฝ่าบาทไม่เพียงมีวรยุทธ์ที่เก่งกล้า ศิลปะสี่แขนงทั้งดีดพิณ หมากล้อม เขียนพู่กัน และวาดภาพก็ทรงชำนาญเป็นอย่างมาก เมื่อเจ้าอยู่กับพระองค์นานมากขึ้น เจ้าก็จะรู้ไปทุกสิ่ง”

“ฝ่าบาททรงชำนาญศิลปะสี่แขนงด้วยหรือ”

อินชิงเสวียนตกใจเล็กน้อย

ตอนเด็กๆ เย่จิ่งอวี้โตขึ้นมาอย่างไรกันเนี่ย

คิดๆ ดูแล้วก็น่าอึดอัดแปลกๆ

ฉินเทียนพูดขึ้นอย่างรู้สึกเป็นเกียรติ “แน่นอนทีเดียว ก่อนที่ฮ่องเต้จะเสด็จขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักในนามราชาแห่งความสุดยอดทั้งห้า”

“ความสุดยอดทั้งห้าคือสิ่งใด”

อินชิงเสวียนถามด้วยความมึนงง

ฉินเทียนแยกนิ้วออกจากกันพร้อมพูดว่า “พิณ หมากล้อม พู่กัน วาดภาพ และวรยุทธ์”

อินชิงเสวียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ เมื่อนึกถึงภาพที่เย่จิ่งอวี้หมกตัวอยู่ในห้องหนังสือหลังจากเสร็จราชกิจเช้า อินชิงเสวียนก็เชื่อในทันที

ชีวิตวัยเยาว์ของเย่จิ่งอวี้น่าจะไม่ต่างจากเด็กในยุคปัจจุบัน นอกจากเรียนทั้งวันแล้ว ยังต้องเรียนพิเศษเสริมหลากหลายประเภท เรียกได้ว่าไม่มีความสุขอะไรเลย

ไม่น่าแปลกใจที่เขาทำหน้าบึ้งตึงทั้งวัน แต่ช่างน่าสงสารเหลือเกิน...

ด้านล่างแท่นประลอง จางเถี่ยคลานขึ้นมาพร้อมถลึงตาโต

เมื่อครู่เขาไม่ทันได้ระวัง ครั้งนี้จะต้องล้มเย่จิ่งอวี้ให้ได้

ทว่า ในเวลาเพียงชั่วครู่ จางเถี่ยก็ถูกถีบกระเด็นไปอีกครั้ง

เขาคลานขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมส่งเสียงคำราม และพุ่งตรงไปยังเย่จิ่งอวี้

เย่จิ่งอวี้กระตุกยิ้มมุมปาก พร้อมพูดขึ้นเบาๆ “ทำได้ดี”

เขาค้อมตัวลง นิ้วที่เหมือนคีมหนีบจับไหล่ของจางเถี่ยไว้แน่น พลางคำรามเสียงทุ้ม ยกตัวจางเถี่ยขึ้นมาและฟาดลงไปกับพื้นดังปัง

ดวงตาของจางเถี่ยเป็นประกายสีดำหลังจากถูกโยน แต่ในใจกลับไม่ยอมแพ้

ส่งเสียงจิ๊ปากออกมา พร้อมกับคลานขึ้นมาอีกครั้ง

เย่จิ่งอวี้พยักหน้าอย่างอดไม่ได้

แม้คนผู้นี้จะบุ่มบ่ามมุทะลุ แต่เขามีพลังที่จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ หากเขาเป็นกองกำลังฝ่ายหน้าจะสามารถเพิ่มขวัญกำลังใจได้อย่างแน่นอน

ในระหว่างการคิดวิเคราะห์ กำปั้นของจางเถี่ยพุ่งตรงมาที่ใบหน้าของเขา เย่จิ่งอวี้เอี้ยวคอหนี จึงหลบกำปั้นเหล็กได้ทัน นิ้วเรียวยาวได้เคลื่อนไหวครั้งสุดท้าย และกุมแขนของจางเถี่ยไว้แน่น เตะเข้าใต้รักแร้ของเขา จางเถี่ยร้องออกมาอย่างเจ็บปวด และล้มลงไปอีกครั้ง

หลังจากหายใจไม่กี่ครั้ง เขาก็คลานขึ้นมาอีก

เย่จิ่งอวี้กระโจนร่างขึ้นไปยังแท่นฝึก

เขากุมมือไว้ด้านหลัง หรี่สายตาลงเล็กน้อย มองไปยังจางเถี่ยและถามว่า “เจ้าเป็นคนจากที่ใด มีตำแหน่งใดในกองทัพ”

ซ่งเฉียวอานตะโกนเสียงดัง “จางเถี่ย ฝ่าบาททรงถามเจ้าอยู่นะ”

จางเถี่ยที่มึนงงจากการถูกโยน ก็ได้สติทันทีเมื่อได้ยินคำว่าฝ่าบาท พลางคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมพูดว่า “กระหม่อมเป็นคนเสียนหยาง และไม่มีตำแหน่งในกองทัพพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้พยักหน้าเบาๆ

“ดี วันนี้ข้าจะให้ตำแหน่งรองแม่ทัพแก่เจ้า และตบรางวัลให้สองร้อยตำลึง”

จางเถี่ยได้ยินดังนั้น จึงรีบก้มหัวคำนับอย่างตื่นเต้นทันที

“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยฝ่าบาท”

ทหารคนอื่นๆ ต่างมองไปยังจางเถี่ยด้วยความอิจฉา หากคนที่ถูกตีเป็นตัวเอง เช่นนั้นคงดีไม่น้อย

แต่ก็มีหลายคนที่รู้สึกว่าตนโชคดี ถ้าคนที่ถูกตีเป็นตัวเองจริงๆ คาดว่าตอนนี้คงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว

เย่จิ่งอวี้หันไปทางซ่งเฉียวอานอีกครั้ง พลางตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าให้เวลาเจ้าครึ่งเดือน หากสิบห้าวันหลังจากนี้ ทหารของเจ้ายังคงไม่ได้การเช่นนี้ เจ้าเตรียมไปหาฉินไฮ่ฉิวที่แม่น้ำซิวเหอได้เลย”

แม่ทัพทั้งหมดต่างพากันคุกเข่าลงกับพื้น

“พวกกระหม่อมจะไม่ทำให้พระองค์ผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”

อินชิงเสวียนกลับส่ายหัว

วิธีการฝึกฝนแบบนี้ อย่าว่าแต่ครึ่งเดือนเลย ต่อให้ฝึกฝนครึ่งปีก็ไม่เกิดผลลัพธ์ใดๆ

เพียงแค่การจัดวางกำลังทหาร เดินตามตำแหน่ง แทบไม่มีสิ่งใดที่เป็นแก่นสาร จักยกระดับประสิทธิภาพโดยรวมได้อย่างไร

เย่จิ่งอวี้มองจากหางตาแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย

“เสี่ยวเสวียนจื่อ เจ้ามีความเห็นอย่างไร”

อินชิงเสวียนไม่คิดว่าเขาจะถามตัวเอง จึงตะลึงไปชั่วขณะ

“พูดมาเถอะ ข้าไม่เอาโทษเจ้าหรอก”

เมื่อได้ต่อสู้กับจางเถี่ยเมื่อครู่ ความโกรธในใจของเย่จิ่งอวี้ก็เย็นลงไม่น้อย

อินชิงเสวียนกระแอมไอเสียงแห้ง “ข้าน้อยไม่รู้ว่าตนเองจะพูดถูกหรือไม่ ข้าน้อยคิดว่าหากต้องการฝึกทหารรบ จะต้องฝึกร่างกายทหารก่อน ไม่ใช่เพียงการตั้งท่าโดยเปล่าๆ เหล่านี้ แม้ว่าการจัดวางกำลังทหารจะเก่งกาจมากเพียงใด หากร่างกายของทหารไม่ได้เรื่อง สุดท้ายก็จะพ่ายแพ้ไปทีละคนพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อพูดออกมาเช่นนี้ สีหน้าของซ่งเฉียวอานดูแย่ในทันที

พวกเขาที่มีฐานะเป็นแม่ทัพ เดิมทีก็ดูแคลนเหล่าขันทีพวกนี้อยู่แล้ว ยิ่งเห็นใบหน้าที่หล่อเหลา สีผิวขาวสว่างของอินชิงเสวียน ในใจก็ยิ่งดูถูกเหยียดหยาม เป็นเพียงแค่ขันทีตัวเล็กๆ จะรู้เรื่องการทำสงครามได้อย่างไร แน่นอนว่าได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เพียงเพราะหน้าตาดีเท่านั้น

เขาหัวเราะเยาะและพูดขึ้น “คาดว่าขันทีน้อยท่านนี้คงจะไม่เคยออกรบมาก่อน จะรู้ได้อย่างไรว่าการจัดวางกำลังทหารใช้การไม่ได้ พลังของคนคนเดียวนั้นน้อย แต่พลังของคนหมื่นคนนั้นยิ่งใหญ่ เพียงอาศัยการจัดวางกำลังทหารเพื่อฆ่าศัตรูเท่านั้น จึงจะสามารถสร้างความประหลาดใจและชนะในคราวเดียว”

อินชิงเสวียนไม่เคยออกรบมาก่อนจริงๆ แต่ก็ดูหนังสงครามมาไม่น้อย เหล่าพี่ๆ ทหารคนไหนบ้างในยุคปัจจุบันที่ร่างกายไม่แข็งแกร่ง และต่างสามารถเอาชนะร้อยคนได้เพียงผู้เดียว

นางพูดเสียงราบเรียบ “ไม่ว่าตะเกียบหนึ่งมัดจะเก่งกาจเพียงใด ก็ถูกมีดฟันขาดได้ หากเป็นเหล็กหนึ่งมัด จะมีดหรือขวานก็ไม่อาจทำลายได้ง่ายๆ”

คำพูดของอินชิงเสวียนทำให้สายตาของเย่จิ่งอวี้แปลกไป

เขาไม่เคยได้ยินการต่อว่าต่อขานเช่นนี้ แต่มันค่อนข้างใหม่เลยทีเดียว

บ่าวผู้นี้มักพูดหลักการแปลกๆ ออกมามากมายเสมอ

ซ่งเฉียวอานยิ่งไม่อยากฟังไปใหญ่

“ขันทีน้อยกล่าวมาเป็นเพียงการเปรียบเทียบเท่านั้น ทหารล้วนเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา จะเรียนรู้การฝึกฝนให้ร่างกายแข็งแกร่งได้อย่างไร”

อินชิงเสวียนพูดขึ้นเสียงราบเรียบ “สิ่งนี้อยู่ที่ว่าแม่ทัพจะฝึกฝนพวกเขาอย่างไร หากท่านแม่ทัพมองพวกเขาเป็นเพียงตะเกียบ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่มีทางแข็งแกร่งไปทั้งชีวิต”

เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และหัวเราะร่าขึ้นมา “พูดได้ดี!”

เมื่อเห็นว่าฝ่าบาททรงชมเชยอินชิงเสวียน ซ่งเฉียวอานจึงพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ในเมื่อขันทีน้อยเก่งกาจเพียงนี้ ข้าจึงกล้าพอที่จะเชิญขันทีน้อยนำกองทัพฝึกฝนเพียงลำพัง ไม่ทราบว่าขันทีน้อยจะกล้าหรือไม่”

ไม่รอให้อินชิงเสวียนปฏิเสธ เย่จิ่งอวี้จึงตรัสขึ้น “นี่เป็นข้อเสนอแนะที่ไม่เลว นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เจ้ามาฝึกทหารพร้อมกับแม่ทัพซ่งที่สนามฝึก ให้ฉินเทียนและหลี่ชีมาด้วย แล้วกลับพระราชวังในยามเย็นของทุกวัน”

“คือว่า...”

อินชิงเสวียนรู้สึกอยากด่าคนอย่างมาก

ไม่เคยได้ยินว่ามียุคสมัยใดที่ให้ขันทีมาฝึกทหาร

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นางเป็นเพียงขันทีปลอมๆ

แต่เมื่อไตร่ตรองดูอีกครั้ง นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีในการออกจากพระราชวัง และจะใช้โอกาสนี้ในการพาเจ้าหมาน้อยออกมาด้วย

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางรีบลุกขึ้นและคุกเข่าลงบนพื้น

“ข้าน้อยรับพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้พยักหน้าอย่างพอใจ

“กลับวังได้”

อินชิงเสวียนขึ้นมาตามเย่จิ่งอวี้ มุมปากของนางอดไม่ได้ที่จะโค้งงอเป็นรอยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์

รอให้นางพาทุกคนออกจากวัง ก็จะสามารถเผ่นหนีไปได้ ไปแล้วไปลับ

ฝึกทหารงั้นหรือ!

ฝึกโคตรแม่งสิ!!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์