สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 91

ขณะที่ทุกคนกำลังแยกย้ายกันไป ก็ได้ยินคนผู้หนึ่งโพล่งขึ้นด้วยความโกรธ “เหลวไหล ช่างเป็นเรื่องเหลวไหลที่สุด ฝ่าบาทถึงขั้นให้ขันทีน้อยผู้หนึ่งมาฝึกทหารที่ลานต่อสู้ หากรู้ถึงแคว้นอื่น ต้าโจวเรามิกลายเป็นที่ขบขันว่าไร้ผู้มีความสามารถหรอกหรือ”

เมื่ออินชิงเสวียนหันกลับมา ก็เห็นชายชราร่างสูงมีหนวดเคราและเส้นผมสีขาวโพลนที่เดินมาแต่ไกล โดยที่ขาข้างหนึ่งยังเดินโขยกเขยก

ข้างกายของชายชรายังมีชายหนุ่มในวัยยี่สิบเศษๆ ตามมาด้วย ซึ่งชายหนุ่มผู้นี้สวมชุดเกราะสีเงินแวววาว รูปร่างหน้าตาได้สัดส่วนงดงาม

ชายชราผลักชายคนนั้นออกไป แล้วคุกเข่าลงกับพื้นด้วยหน้าตาตื่นๆ

“ฝ่าบาท โปรดทบทวนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่วอวี้ถือสายบังเหียนไว้ในมือ นั่งตัวตรงบนหลังอาชา ใบหน้าสลักเหลาอยู่ในอาการสงบ

“นี่เป็นคำขอของแม่ทัพซ่ง เราให้เขาสมหวังแล้ว จอมพลเฒ่ากวนไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไรอีกแล้ว”

ซึ่งบุคคลผู้นี้หาใช่ผู้ใดไม่ หากแต่เป็นจอมพลผู้บัญชาการทหารสูงสุด กวนฮั่นหลิน

และผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาก็คือหลานชายคนโตของตระกูล กวนเซี่ยว

กวนฮั่นหลินพูดเสียงก้อง “บรรพบุรุษมีคำกล่าวขาน ขันทีมิอาจก้าวก่ายกิจการบ้านเมือง โดยเฉพาะการฝึกทหารยิ่งเป็นเรื่องสำคัญของบ้านเมือง ฝ่าบาทจะฝากฝังเรื่องสำคัญเช่นนี้ไว้กับขันทีน้อยได้อย่างไร ช่างไม่สมเหตุสมผลจริงๆ”

อินชิงเสวียนอดขมวดคิ้วไม่ได้

ขุนนางตลอดจนแม่ทัพทหารแต่ละสมัยในอดีต ล้วนดูถูกขันที คิดว่าคนเหล่านี้เป็นเพียงกลุ่มคนที่ชอบประจบสอพลอ

แต่ไม่ลองคิดดูบ้าง หากไม่ถูกบังคับให้ไม่มีทางเลือก ผู้ใดเล่าจะอยากเป็นคนประเภทไม่หญิงไม่ชาย ต้องก้มหน้าอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรีไปตลอดชีวิต

ทว่าเย่จิ่วอวี้กลับแค่นเสียงเย็นชา กล่าวด้วยแววตานิ่งขึง “ขันทีแล้วอย่างไร ไม่ถามพื้นเพของวีรบุรุษ เสี่ยวเสวียนจื่อบริจาคเมล็ดพันธุ์พืชให้กับต้าโจว แก้ไขการระบาดของตั๊กแตน แก้ไขปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม พวกท่านที่เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของเรา สร้างความดีความชอบใดบ้าง”

กวนฮั่นหลินก้มหน้าลงกล่าวว่า “กระหม่อมยินดีที่จะไปรบทัพจับศึกพ่ะย่ะค่ะ ยอมพลีชีพเพื่อต้าโจว หวังว่าฝ่าบาทจะถอนรับสั่ง ซ่งเฉียวอันถูกยุยงไปชั่วขณะ พูดจาโดยไม่ยั้งคิด กระหม่อมจะไปจัดการลงโทษเอง”

เย่จิ่วอวี้พูดเหน็บแนม “ถ้าเราจำไม่ผิด ตอนนี้จอมพลเฒ่าก็อายุเจ็ดสิบหกแล้ว หากไปสนามรบด้วยวัยเท่านี้ ไม่กลัวผู้อื่นหัวเราะเยาะว่าต้าโจวไร้ผู้มีความสามารถหรอกหรือ”

ดวงตาของเย่จิ่วอวี้มองกวาดไปยังแม่ทัพหลายคน กระแสเสียงเย้ยหยันเข้มขึ้น

“แม่ทัพเหล่านี้ล้วนได้รับการบ่มเพาะจากจอมพลเฒ่า แต่ขอให้จอมพลเฒ่าคิดให้มาก ว่าจะส่งผู้ใดไปเจียงวู อย่าให้มีผู้สมคบกับศัตรูและทรยศต่อแคว้นขึ้นมาอีก”

กวนฮั่นหลินกัดฟันกรอด คุกเข่าลงกับพื้นแล้วพูดว่า “กระหม่อมเชื่อมาโดยตลอดว่า เรื่องของตระกูลอินมีนัยยะแอบแฝง อินจ้งองอาจห้าวหาญสันทัดในการรบ ภักดีต่อฝ่าบาทและบ้านเมือง จะทำสิ่งที่ผิดต่อคุณธรรมเช่นนั้นได้อย่างไร”

อินชิงเสวียนตะลึงงัน

อินจ้ง หรือว่าบุคคลที่ชายชราผู้นี้กำลังพูดถึงคือบิดาของเจ้าของร่างเดิม

เย่จิ่วอวี้กล่าวอย่างเย็นชา “จดหมายและตราประทับเป็นหลักฐานที่แน่ชัดอยู่แล้ว เรายังมีหนังสือสารภาพผิดของอินสิงอวิ๋นอยู่ในมือด้วย แม้ว่าท่านจะเป็นทูตลิ้นทอง ก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบนี้ได้”

ดวงตาของเขาเยียบเย็น น้ำเสียงเฉียบขาด

“หนึ่งปีก่อน ท่านสาบานกับเราว่าจะสืบพบสาเหตุให้จงได้ เราก็เชื่อท่าน ส่งตัวอินสิงอวิ๋นบุตรชายคนโตของอินจ้งให้กับตระกูลกวน เพื่อรอการพิจารณาคดีในภายหลัง แต่ท่านกลับทำคนหาย กวนฮั่นหลิน หรือท่านคิดว่าเราอ่อนหัด ที่ให้พวกท่านคิดจะแกล้งเล่นอย่างไรก็ได้”

ทันใดนั้นกวนฮั่นหลินพลันเหงื่อไหลโซมไปทั่วทั้งกาย

อินสิงอวิ๋นได้หายตัวไปภายใต้การเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดจริง หากไม่ใช่เพราะเย่จิ่งอวี้ใจกว้าง ลำพังแค่เรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว ก็เพียงพอให้ตระกูลกวนถูกประหารเก้าชั่วโคตรได้

พอนึกถึงตรงนี้ ก็ต้องทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น

พูดด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง “กระหม่อมขอน้อมรับความผิด”

เย่จิ่วอวี้กระตุกสายบังเหียน เจ้าม้าร้องเสียงยาว ยกกีบเยื้องย่าง เดินย่ำไปอยู่ข้างๆ กวนฮั่นหลิน ฝุ่นผงฟุ้งตลบ

“เมื่อรู้ความผิดของตัวเองแล้ว ก็รีบถอยไปเสีย เรื่องนี้เราได้ตันสินใจไปแล้ว กลับวัง!”

กวนฮั่นหลินคุกเข่าตระหง่านบนพื้นโดยไม่ไหวติง

กวนเซี่ยวที่อยู่ข้างๆ กลับต้องปาดเหงื่อแทนผู้เป็นปู่ ม้าตัวนี้มีนามว่าเฟยมั่ว เป็นม้าศึกที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เย่จิ่วอวี้มาตั้งแต่เหนือจรดใต้ องอาจกล้าหาญยิ่งนัก หากถูกมันเหยียบเข้า แม้ไม่ตายก็พิการ

“กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่วอวี้แค่นเสียงในลำคอ ลูบท้องของเจ้าม้า จากนั้นเฟยมั่วก็หยุดแสดงอาการข่มขวัญ ควบทะยานมุ่งหน้าไปยังวังหลวง

“ไป!” ทุกคนรีบตามเสด็จทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์