สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 92

อินชิงเสวียนค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ

คิดไม่ถึงว่าต้าโจวจะมีระบบแปลกๆ เช่นนี้ มิน่าเล่าวันนั้นนางบอกว่าจะเลื่อนตำแหน่งแสวงหาความร่ำรวย เย่จิ่งอวี้ถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพียงนั้น

เย่จิ่วอวี้กล้าที่จะทำลายระบบดั้งเดิมของบรรพบุรุษ เชื้อเชิญผู้มีปัญญาจากทั่วทุกสารทิศ ซึ่งการทำเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นฮ่องเต้ผู้ปรีชา แต่เหตุใดถึงได้ชิงชังตระกูลอินมากเพียงนี้

หรือว่าตระกูลอินคิดคดทรยศจริงๆ

เจ้าของร่างเดิมเติบโตมาในตระกูลอิน หากบิดาและพี่ชายมีใจคิดเป็นอื่นจริง นางจะไม่สังเกตได้อย่างไร

ซึ่งข้อสรุปที่ง่ายที่สุดก็คือ ถ้าอินจ้งมีใจคิดกบฏจริงๆ เขาต้องสนับสนุนให้เย่จิ่งเย่าครองบัลลังก์ และไม่ต้องถูกลดขั้นส่งตัวไปยังชายแดนเช่นนี้

เมื่อนึกถึงความไว้เนื้อเชื่อใจของจอมพลเฒ่าที่กล่าวถึงอินจ้ง นางก็อดขมวดคิ้วเสียมิได้

สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ในขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เย่จิ่วอวี้ก็ได้กล่าวขึ้นว่า “เรารู้ว่าเจ้าฉลาดอยู่บ้าง แต่การฝึกทหารไม่ใช่เรื่องง่าย เราจะสอนวิธีการฝึกขั้นพื้นฐานบางอย่างให้เจ้า แต่เจ้าต้องจำไว้ให้ดี”

อินชิงเสวียนตอบรับส่งๆ “พ่ะย่ะค่ะ”

จากนั้นเย่จิ่วอวี้พูดอะไรบ้าง นางแทบไม่ได้ตั้งใจฟังเลย

สิ่งที่คร่ครวญอยู่ในสมองก็มีแต่เรื่องของตระกูลอิน

ราวกับว่าความเคียดแค้นที่เจ้าของร่างเดิมรู้สึกก่อนตายยังคงจุกแน่นอยู่ในอก ความคิดเดียวของเจ้าของร่างเดิมคือช่วยบิดาและพี่ชายพิสูจน์ความจริง ทว่าตัวนางกลับเอาแต่คิดที่จะหลบหนี มิเท่ากับขัดแย้งกับความคิดของเจ้าของร่างเดิมหรอกหรือ

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ อินชิงเสวียนก็ถอนหายใจเงียบๆ

เป็นคนไม่ควรเห็นแก่ตัวเกินไป เมื่อมีโอกาสดีเช่นนี้ ก็ควรลองไปถามจอมพลเฒ่าเลยดีกว่า ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น

ขณะที่นางจมอยู่กับความคิด หยดน้ำก็กระเด็นโดนหน้าของอินชิงเสวียน อินชิงเสวียนสะดุ้ง ตื่นจากภวังค์ทันที

กลับเห็นเย่จิ่วอวี้ปรายตามองนาง ถามเสียงเรียบ “ที่เราพูด เจ้าจำไว้แล้วหรือยัง”

อินชิงเสวียนคิดในใจว่า แย่แล้ว นางไม่ได้ฟังอะไรเลย

แต่พูดด้วยท่าทีนอบน้อม “กระหม่อมจะจดจำไว้”

“ถ้าเช่นนั้นเราจะรอหลังจากนี้อีกสิบห้าวัน ดูเจ้าทำให้เราประหลาดใจ!”

หลังจากที่เย่จิ่วอวี้พูดจบเขาก็ลุกขึ้นจากน้ำ และหยดน้ำก็กระเซ็นไปโดนตัวอินชิงเสวียน

“เฮ้ย!” อินชิงเสวียนรีบก้มศีรษะลง ใบหูรู้สึกร้อนฉ่าราวกับถูกลวก

ฮ่องเต้ในสมัยโบราณไม่มีความรู้สึกละอายบ้างหรืออย่างไร

ยืนเปลือยกายล่อนจ้อนต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ ไม่รู้สึกกระดากใจบ้างหรือ

ครั้นนึกถึงความชอบที่วิปริตของเขา ก็รู้สึกว่าราชวงศ์มีแต่คนประหลาด มิอาจวิเคราะห์ได้ด้วยความคิดของคนธรรมดา

แล้วจึงรีบตะโกนบอกขันทีนางกำนัลที่อยู่ข้างหลัง “เด็กๆ รีบเปลี่ยนฉลองพระองค์ให้ฝ่าบาท อย่าให้พระวรกายต้องลมหนาว”

หลายคนรีบวิ่งกรูเข้ามา กุลีกุจอสวมชุดแพรต่วนเนื้อนุ่มคลุมตัวให้เย่จิ่วอวี้

เมื่อเห็นผ้าแพรต่วนสีขาวลากอยู่บนพื้น อินชิงเสวียนจึงกล้าเงยหน้าขึ้นมอง

เย่จิ่วอวี้กำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง จึงไม่ได้สนใจอินชิงเสวียน

เขาเดินเข้าไปในห้องโถงด้านใน นั่งลงบนเก้าอี้หินอ่อนแวววาว แล้วมีคนยกน้ำชามาให้ดื่มดับกระหายทันที

“พวกเจ้าทุกคนออกไปเถอะ”

เย่จิ่วอวี้ไล่ขันทีและนางกำนัล หยิบถ้วยชาขึ้นจิบ

อินชิงเสวียนรีบเติมน้ำชาที่พร่องลงไป และใช้โอกาสนี้พูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมอยากขอร้องเรื่องที่อาจฟังดูไร้เหตุผลหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่วอวี้เลิกคิ้วแล้วถามว่า “อยากกลับไปที่วังเย็นอีกรึ”

อินชิงเสวียนหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดว่า “ผู้ที่รู้จักกระหม่อมดีที่สุด ก็คือฝ่าบาท กระหม่อมต้องไปฝึกทหาร เมื่อกลับมาก็ต้องไปรับใช้ฝ่าบาท เกรงว่าจะกลับไปพบน้องสาวไม่ได้พักใหญ่”

เย่จิ่วอวี้กวาดสายตามองดูใบหน้าของนาง

“เจ้าก็ดูเป็นพี่ชายที่ดี เห็นแก่ที่เจ้าทำคุณประโยชน์ต่อต้าโจวมากมาย เราจะอนุญาต หากเจ้าสามารถเอาชนะซ่งเฉียวอันได้จริงๆ เราจะหาบ้านสามีให้น้องสาวเจ้า”

หัวใจของอินชิงเสวียนเต้นรัว รีบพูดขึ้นว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท แต่กระหม่อมยังคงคิดว่าการแต่งงานแบบคลุมถุงชนนั้นไม่ดี ขาดพื้นฐานของความรัก หากพบคนที่ไร้ความเมตตา นางมิต้องเสียใจไปตลอดชีวิตหรอกหรือ มิสู้ให้น้องสาวของกระหม่อมเลือกสามีเอง ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขก็ไม่บ่นหรือโทษผู้ใด”

เย่จิ่วอวี้แค่นเสียงเบาๆ แล้วพูดว่า “ทุกคนในใต้หล้าล้วนภูมิใจกับการแต่งงานที่ฮ่องเต้ประทานให้ แต่เจ้ากลับคิดว่าไม่ดี แต่สิ่งที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การแต่งงานที่ปราศจากความรัก ไม่สามารถอยู่ได้นาน”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เย่จิ่วอวี้ก็ขมวดคิ้ว นึกถึงบรรดาสตรีทั้งหมดในวังหลัง แล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที

คนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ที่เขาต้องการ คนเดียวที่เขาอยากอยู่ด้วยคือสตรีที่มีปานรูปผีเสื้อบนไหล่

ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านมาหลายปีแล้ว หญิงสาวในวันวานอาจจะแต่งงานไปนานแล้วก็ได้ แม้ว่าเขาจะเป็นฮ่องเต้ แต่ก็ยังมีของที่ต้องประสงค์แต่มิอาจสมหวัง...

เมื่อนึกถึงตอนที่นางกะพริบตาสดใสคู่นั้น มองเขาด้วยความเป็นห่วง เย่จิ่วอวี้ก็ลุกขึ้นยืนและถอนหายใจยาว

อินชิงเสวียนไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ เขาถึงอารมณ์หดหู่ เดิมทีอยากขอออกไปทันที แต่ยามนี้นางไม่กล้าปริปาก ได้แต่ติดตามเย่จิ่งอวี้อย่างเงียบเชียบ

ชั่วพริบตาท้องฟ้าพลันหม่นแสง

จู่ๆ เย่จิ่วอวี้ก็มองย้อนกลับมา แล้วพบว่าอินชิงเสวียนยังคงติดตามเขาอยู่

เขาอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วแล้วถามว่า “เจ้ายังไม่ไปรึ”

อินชิงเสวียนพูดอะไรไม่ออกอยู่พักหนึ่ง ถ้าท่านผู้สูงศักดิ์ไม่เอ่ยปาก ผู้ใดจะกล้าออกไป

“ถ้าอย่างนั้น…กระหม่อมจะกลับไปเดี๋ยวนี้”

เย่จิ่วอวี้พูดเบาๆ “อืม เราก็จะไปห้องหนังสือแล้ว”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

อินชิงเสวียนโค้งกายล่าวขอบคุณ และออกจากหอสุ่ยอวิ้นไป

ทันทีที่เดินไปถึงทางแยกของถนนสู่ห้องหนังสือ ก็ได้พบกับชุยไห่ขันทีคนสนิทของไทเฮา

เขามองไปที่อินชิงเสวียนพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเสวียนจื่อกงกง ไทเฮาเรียกไปเข้าเฝ้าสักครู่ ตรัสว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องหารือ เชิญกงกงน้อยเถิด”

อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว เดิมทีอยากจะกลับไปหาเจ้าหมาน้อย แต่นางแม่มดเฒ่าผู้นี้กลับมาหาเรื่องเสียได้

แต่ตอนนี้ตัวเองมีจุดอ่อนอยู่ในมือของนาง อินชิงเสวียนจึงไม่กล้าไม่ไป

ยามนี้เย่จิ่งอวี้เชื่อใจนางมาก แต่ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเขาไม่รู้จักตัวตนของนาง ตราบใดที่เย่จิ่งอวี้รู้ว่านางคืออินชิงเสวียน ไม่แน่ว่าจะปิดตายวังเย็นไปเลยก็ได้

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ อินชิงเสวียนก็คลี่ยิ้มบางๆ

“ชุยกงกงโปรดนำทางด้วย”

ชุยไห่พูดด้วยรอยยิ้มกริ่ม “กงกงน้อยไม่ต้องเกรงใจ เชิญทางนี้”

ระหว่างทาง อินชิงเสวียนถูกชุยไห่จ้องมองจนรู้สึกขนลุกขนชันอยู่หลายครั้ง

หลังจากมาถึงตำหนักฉือหนิง ในที่สุดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้

ชุยไห่พานางไปที่ห้องโถงด้านข้าง

“เข้าไปเถอะ”

จากนั้นก็ปิดประตู

อินชิงเสวียนเดินเข้าไปในห้อง ทว่าไม่เห็นไทเฮา แต่นางกลับเห็นขันทีน้อยยืนหันหลังให้ตัวเอง

“กระหม่อมเสี่ยวเสวียนจื่อถวายพระพรไทเฮา”

อินชิงเสวียนตะโกนเสียงดัง

ขันทีน้อยค่อยๆ หันกลับมา และเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาอันแสนชั่วร้ายดวงนั้น

หัวใจของอินชิงเสวียนเต้นไม่เป็นส่ำ

เย่จิ่งเย่า เขาอยู่ที่นี่งั้นรึ

เย่จิ่งเย่าเม้มริมฝีปากแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “แปลกใจหรือ”

อินชิงเสวียนก้าวถอยหลัง ถามด้วยท่าทางระแวดระวัง “คนที่ต้องการพบข้าก็คือท่านรึ”

เย่จิ่งเย่าพยักหน้ายิ้มๆ

“แน่นอน”

อินชิงเสวียนถาม “ท่านอ๋องหาข้ามีธุระอันใด”

เย่จิ่งเย่านั่งบนเก้าอี้ ยกถ้วยชาขึ้นจิบ

เขาพูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “ครั้งหนึ่งเจ้าข้าต่างรักกัน หรือพวกเราไม่ควรรำลึกถึงความหลังครั้งเก่ากระนั้นหรือ”

อินชิงเสวียนหันหลังกลับไปเปิดประตู แต่กลับพบว่าประตูถูกลงกลอนจากด้านนอก ใบหน้าของนางซีดเผือด

“ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่”

เย่จิ่งเย่าพูดเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน “ตอนนี้เมื่อเจ้ายอมรับตัวตนของเจ้าแล้ว ระหว่างเราก็ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งใดมาขัดขวางอีกแล้ว ตอนนี้พวกเราทั้งสามฝ่ายล้วนมีจุดประสงค์เดียวกัน ตราบใดที่เย่จิ่วอวี้ตาย เจ้ากับข้าก็สานสัมพันธ์กันต่อได้”

อินชิงเสวียนคิดในใจว่า แม้ว่าผู้ชายทุกคนในโลกจะตายกันหมด นางก็ไม่ผูกมัดตัวเองกับคนเลวทรามคนนี้ ที่มองว่าตัวเองเป็นเพียงอาหารจานหนึ่งได้หรอก

เมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนเงียบ เย่จิ่งเย่าก็วางถ้วยชาลง สืบเท้าไปหานางทีละก้าว

“จะลงมือเมื่อใดนั้น เจ้าก็ควรให้กำหนดเวลาที่แน่นอนให้ข้าด้วย”

อินชิงเสวียนวิ่งไปที่หน้าต่างทันที

“หากท่านจะพูดอะไร แค่ยืนพูดตรงนั้นก็พอ”

เนื่องจากใส่กระบองไฟฟ้าไว้ในแขนเสื้อแล้วไม่สะดวก นางจึงเก็บไว้ในมิติ

หากไอ้สารเลวนี้กล้าแตะต้องนาง นางจะเข้าไปเอาออกมาจากมิติทันที

เย่จิ่งเย่าพูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “เจ้ากลัวอะไร เจ้าต้องการข้ามาโดยตลอดมิใช่หรือ วันนี้ข้าจะให้เจ้าสมหวัง ถือเป็นคำสัญญาที่ข้าให้ไว้กับเจ้า ว่าอย่างไร”

เขายื่นมือดึงผ้าคาดเอวออก แล้วชุดขันทีสีน้ำเงินก็ร่วงหล่นลง...

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์