สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 96

“แน่อยู่แล้วขอรับ ขอบคุณหลี่กงกง เช่นนั้นข้าขอตัวไปนอนแล้ว”

อินชิงเสวียนอารมณ์ดีมาก

วันนี้ไม่เพียงแต่ได้สั่งสอนเย่จิ่งเย่า แต่ยังขายของได้ถึง 5,000 ตำลึง สิ่งที่น่าพึงพอใจที่สุดคือ ได้รับอีก 100 คะแนนในมิติ และเก็บเกี่ยวธัญพืชได้อีกชุดหนึ่ง

หลี่เต๋อฝูโบกมือ

“กลับไปเถอะ”

อินชิงเสวียนสามารถแข่งขันกับซ่งเฉียวอันได้ในครั้งนี้ ก็ทำให้หลี่เต๋อฝูได้หน้าได้ตามาก

อย่าเห็นว่าต่อหน้าเขาขุนนางเหล่านั้นดูสุภาพ แต่ลับหลังกลับเรียกว่า ขันทีพิการ ขันทีบ้าเจี๋ยนสั้น ขันทีบ้าเจี๊ยนยาว ทุกครั้งที่หลี่เต๋อฝูได้ยินก็อยากจะด่าพ่อล่อแม่พวกนั้นให้เข็ด หากไม่ถูกบีบให้อับจนหนทาง ผู้ใดจะยอมเป็นคนประเภทไม่หญิงไม่ชาย

เมื่อได้ยินฮ๋องเต้พูดถึงเรื่องนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น หากเสี่ยวเสวียนจื่อสามารถเอาชนะได้ ขันทีเช่นพวกเขาก็จะเกิดความภาคภูมิใจไปด้วย

ในตำหนัก

เย่จิ่วอวี้ไม่รู้สึกง่วงนอนเลย

เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวเหมือนหิมะ ยืนอยู่หน้าหน้าต่าง

ดวงตาหงส์แลมองแสงจันทร์เหนือเศียร ขนงย่นเล็กน้อย ราวกับเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มที่อธิบายไม่ได้

ในใจถึงกับรู้สึกเสียใจภายหลัง

ไม่ควรตกลงทำตามคำขอของซ่งเฉียวอันง่ายๆ หากเสี่ยวเสวียนจื่อทำไม่ได้ การตัดสินใจครั้งนี้จะกลายเป็นเรื่องขบขันอย่างแน่นอน

แต่สถานการณ์ได้บีบให้เป็นเช่นนั้น หากเขาปฏิเสธเสี่ยวเสวียนจื่อ ก็เท่ากับเพิ่มความหยิ่งยะโสให้กับซ่งเฉียวอัน

ทหารเหล่านี้สูญเสียเลือดความเป็นบุรุษไปนานแล้ว ถ้าไม่กระตุ้นหน่อย พวกเขาจะเข้าสู่สนามรบสังหารศัตรูได้อย่างไร

แม้ว่าต้าโจวไม่ขาดแคลนทหาร แต่ก็ไม่ควรจะไปตายด้วยวิธีนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ทหารเหล่านี้ล้วนเกิดและเติบโตจากบิดามารดา ยิ่งเป็นราษฎรของแคว้นต้าโจว เขาไม่หวังให้คนเหล่านี้ไร้เทียมทาน แต่อย่างน้อยพวกเขาควรจะมีความสามารถในการป้องกันตัวเอง เมื่อคิดว่าคนเหล่านี้อ่อนแอไร้พลังและเปราะบาง เย่จิ่งอวี้อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง ความโกรธที่เพิ่มทวีคูณ

เพลานี้ได้แต่ฝากความหวังไว้กับบ่าวตัวน้อยผู้นี้เท่านั้น หากเขาชนะ พวกแม่ทัพนายกองพวกนั้นคงพูดไม่ออก

ในขณะเดียวกัน ยังสามารถแสดงให้ผู้เรียนที่ยากจนในแผ่นดินได้เห็น ว่าเขาเย่จิ่งอวี้ใช้คนที่มีประโยชน์ ตราบใดที่มีความสามารถ แม้เป็นขันทีเขาก็ให้ความสำคัญ

เมื่อนึกถึงใบหน้านวลจิ้มลิ้มพริ้มเพราของอินชิงเสวียน เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น

กระซิบเสียงแผ่วต่ำ “เจ้าอย่าทำให้เราผิดหวังนะ!”

วันนั้นเมื่ออินชิงเสวียนกลับมาจากไปหาไทเฮา เย่จิ่วอวี้จงใจให้เขาไปทำอาหาร เพื่อดูว่าเขาจะทำอะไรกับตัวเองหรือไม่

มีหลายครั้งที่เขาอยากให้เจวี๋ยอิ่งไปตรวจสอบพื้นเพของขันทีน้อยผู้นี้หลายครั้ง แต่ก็ต้องอดทนไว้

ทั้งนี้เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาได้เรียกขันทีทั้งหมดออกมา แต่ไม่พบขันทีน้อยผู้นี้ นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขามีความสามารถบางอย่าง และบางสิ่งก็ควรจะปล่อยให้เป็นความลับไว้ดีกว่า

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เย่จิ่วอวี้ก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วเดินขึ้นไปยังแท่นบรรทม...

เช้าวันต่อมา

อินชิงเสวียนตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เสี่ยวอานจื่อได้เตรียมหน้าล้างหน้าไว้ให้นางแล้ว

พูดด้วยท่าทางเอาอกเอาใจ “เสี่ยวเสวียนจื่อ เจ้าต้องฝึกฝนให้ดี พวเราจะเงยหน้าอ้าปากได้หรือไม่นั้น ล้วนขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”

ขันทีน้อยอีกหลายคนก็มายืนออที่ประตู ทุกคนมองอินชิงเสวียนด้วยแววตาเป็นประกายกล้า

ซึ่งนี่ทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกอึดอัดใจมาก มีความรู้สึกตงิดๆ ใจว่า ถ้านางไม่ประสบความสำเร็จ ก็จะประสบเคราห์กรรมแทน

นางหัวเราะแห้งๆ กล่าวว่า “ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ ข้าจะทำให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน”

ขันทีน้อยผู้หนึ่งเดินเข้ามา พูดอย่างตื่นเต้น “เสี่ยวเสวียนจื่อ พวกเราทุกคนอยู่ข้างเจ้า เจ้าต้องสู้แทนพวกเรานะ”

อีกหลายคนพูดพร้อมกันว่า “ใช่ พวกเราคิดว่าเจ้าทำได้”

อินชิงเสวียนถูกพวกเขาจ้องขนขนลุกซู่ รีบล้างหน้า และพูดกับทุกคนว่า “ทุกคนไม่ต้องห่วง ข้าจะสู้เพื่อทุกคน”

“สู้ๆ สู้ๆ สู้ๆ!”

ทุกคนชูกำปั้นขึ้นโบกพร้อมกัน เหมือนการปลุกกระดม

อินชิงเสวียนทนไม่ได้กับฉากเช่นนี้ นางจึงรีบเช็ดหน้าแล้ววิ่งหนีไป

ด้านนอกตำหนัก ฉินเทียนและหลี่ชีกำลังรออยู่ที่ประตูแล้ว

“เสี่ยวเสวียนจื่อ ควรไปได้แล้ว”

ฉินเทียนจูงม้าของอินชิงเสวียนมา เขายังสงสัยว่าอินชิงเสวียนจะฝึกทหารอย่างไร ขณะเดียวกันยังเคลือบแคลงในตัวขันทีน้อยผู้นี้เช่นกัน

หากขันทีสามารถฝึกทหารได้ดี แม่ทัพเหล่านั้นคงวิ่งไปตกบ่อน้ำอาจมตายเสียดีกว่า

อินชิงเสวียนปีนขึ้นไปบนหลังม้า แล้วจับที่ท้องของม้าแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ!”

ครั้นแล้วทุกคนก็ออกจากวังอย่างรวดเร็ว

และเพลานี้เอง ได้เกิดความขัดแย้งขึ้นในตำหนักจินหลวน

เสนาบดีกวนก้าวไปข้างหน้า กล่าวว่า “กระหม่อมทราบดีว่าฝ่าบาทร้อนพรทัยที่จะไปปราบกบฏเจียงวู แต่จะให้ขันทีไปฝึกทหารไม่ได้ นี่มิใช่เรื่องเล่นๆ พ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่วอวี้แค่นเสียงขึ้นจมูกเบาๆ แล้วกล่าวว่า “หรือว่าขันทีไม่ใช่คน ท่านเสนาบดีที่เป็นถึงขุนนางคนสำคัญของแคว้น ควรรับผิดชอบในการบ่มเพาะผู้มีความสามารถ แต่เหตุใดถึงต้องแบ่งแยกคน การสอบเคอจวี่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผู้ที่ถูกรับเข้ามาล้วนเป็นลูกหลานของตระกูลขุนนาง เราไม่เคยเห็นบุตรหลานครอบครัวที่ยากจนมาเป็นทำงานในราชสำนักเลย เกรงว่าท่านเสนาบดีคงรับทรัพย์ทำกำไรได้มากมาย”

ทันใดนั้นกวนเมิ่งถิงหน้าเปลี่ยนสี ลนลานคุกเข่าลงกับพื้นทันที

“กระหม่อมมิกล้า ผู้ที่กระหม่อมคัดเลือกล้วนมีความรู้และมีความประพฤติดี ไม่เคยรับของกำนัลจากผู้ใด”

เย่จิ่วอวี้ยิ้มเสียดสีว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเราไม่เคยเห็นศิย์ที่มาจากครอบครัวยากจนเลย หรือว่าพวกเขาไม่สมควรที่จะปรากฏตัวในตำหนักจินหลวนของเรา”

จู่ๆ เมิ่งกวนถิงก็เหงื่อออก

“กระหม่อมเต็มใจที่จะสละชีพเพื่อต้าโจว ไม่มีวันกล้าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเด็ดขาด เป็นเพราะคะแนนของพวกเขาไม่น่าพอใจ กระหม่อมจึงมิกล้าส่งเสริม”

เย่จิ่วอวี้แค่นเสียงเย็นชา “การสอบฤดูใบไม้ร่วงนี้ เราจะทำการทดสอบด้วยตัวเอง เจ้าถอยไปก่อน!”

เสนาบดีกรมพิธีการลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ฝ่าพระบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูล ไม่ทราบว่าควรพูดหรือไม่”

เย่จิ่วอวี้พูดเสียงเรียบ “พูด”

เสนาบดีกรมพิธีการเหลือบมองกวนเมิ่งถิง กระแอมในลำคอแล้วพูดว่า “ตั้งแต่สมัยโบราณมีคำพูดที่ว่า ขันทีมิอาจก้าวก่ายราชกิจ นับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นต้าโจว ไม่เคยได้ยินว่าอดีตฮ่องเต้พระองค์ใดใช้งานขันทีมาก่อน การที่ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ ก็เท่ากับการฝ่าฝืนคำสอนของบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง”

เย่จิ่วอวี้เงยหน้าขึ้นและถามกลับว่า “แล้วเราให้ขันทีมาเป็นเจ้าหน้าที่ขุนนางในราชสำนักงั้นรึ”

เสนาบดีกรมพิธีการกล่าวว่า “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ”

จู่ๆ กระแสเสียงของเย่จิ่วอวี้ก็ทุ้มต่ำลง

“ในเมื่อไม่ใช่ จะเรียกว่าก้าวก่ายราชกิจได้อย่างไร”

“เรื่องนี้...”

“ยังไม่รีบถอยไปอีก”

เสนาบดีกรมพิธีการยังต้องการพูดต่อ แต่ฉินไฮ่ฉิวกลับก้าวออกมา

โค้งคำนับและกล่าวว่า “แม้ว่าจะฟังดูไร้สาระที่จะให้ขันทีไปฝึกทหาร แต่กระหม่อมก็เห็นด้วยกับฝ่าบาท ดังที่กล่าวกันว่า ไม่ถามพื้นเพของวีรบุรุษ แม้ว่าเสี่ยวเสวียนจื่อจะเป็นขันที แต่ความรู้ของเขาก็ยังสูงกว่าเหล่าบัณฑิตมาก แม้แต่กระหม่อมยังรู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น”

หานสือกล่าวต่อว่า “ประโยคถัดไปของคำกล่าวที่ว่า ไม่ถามพื้นเพของวีรบุรุษ ก็คือ เมื่อมั่งคั่งต้องพิจารณาถึงมูลเหตุ เสี่ยวเสวียนจื่อกงกงสามารถเสียสละเมล็ดพันธุ์จากฮว๋าเซี่ยอย่างไม่เห็นแก่ตัว เห็นได้ว่าเขามีคุณธรรมสูงกว่าคนทั่วไปนัก หากกงกงน้อยมีความสามารถในด้านการศึกจริง จะลองดูก็มิเสียหาย”

ทันทีที่หานสือพูดจบ แม่ทัพทหารคนหนึ่งก็เดินออกมากลางโถงห้อง

“กระหม่อมคิดว่าไม่เหมาะสม ขันทีก็อ่อนแอเหมือนไก่อ่อน เขาจะฝึกทหารได้อย่างไร”

คนผู้นี้หน้าดำทะมึน พูดจาไม่เข้าหู

หลี่เต๋อฝูอดไม่ได้ที่จะกัดฟัน แอบสาปแช่งในใจ เจ้าน่ะสิไก่อ่อน บรรพบุรุษเจ้าก็เป็นไก่อ่อนทั้งหมด

โหราจารย์คิดอยู่พักหนึ่ง แล้วเดินออกมากลางห้องโถง

“กล่าวผิดไปแล้ว สิ่งที่ผู้ฝึกทหารต้องการคือความสามารถในการบังคับบัญชา หาใช่กำลังในการต่อสู้ระยะประชิดไม่ แม้ว่าเสี่ยวเสวียนจื่อกงกงจะเป็นขันที แต่กลับมีโหงวเฮ้งที่สุขุมและชาญฉลาด บางทีเขาอาจสร้างสภาพการณ์ใหม่ๆ ให้กับต้าโจวก็ได้”

หลังจากฟังคำพูดของโหราจารยฺแล้ว เย่จิ่วอวี้ก็พยักหน้าเล็กน้อย

“กล่าวได้กี เช่นนี้ก็จบเรื่องเพียงเท่านี้ เราได้ตัดสินใจแล้ว ไม่ต้องถกเถียงแล้ว”

เมื่อได้รับการเห็นชอบจากฮ่องเต้ โหราจารย์ก็รู้สึกยินดีอย่างอดไม่ได้

ปัดโธ่เอ้ย ในที่สุดข้าก็พูดถูกแล้วเรื่องหนึ่ง

หลี่เต๋อฝูกำหมัดแน่นพลางคิดในใจ มีคนพูดแทนเจ้ามากมาย เสี่ยวเสวียนจื่อ เจ้าต้องทำเพื่อศักดิ์ศรีของพวกเราให้ได้นะ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์