อินชิงเสวียนทั้งสามสามคนมาถึงบริเวณสนามฝึกแล้ว
ซ่งเฉียวอันและแม่ทัพผู้อื่นก็มาถึงนานแล้ว เพื่ออยากมาดูให้เห็นว่าว่าขันทีบ้าผู้นี้จะสามารถทำอะไรได้บ้าง
แม้ว่าเขาจะเป็นแม่ทัพของต้าโจว แต่หัวใจของเขากลับลำเอียงเข้าข้างเย่จิ่งเย่าที่เป็นอันผิงอ๋อง
ซ่งเฉียวอันมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย เรื่องลูกสายตรงลูกอนุนั้นฝังแน่นลึกในจิตใจ แม้ว่าเย่จิ่งอวี้ได้รับการสถาปนาเป็นองค์รัชทายาทก่อนแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าเขาเป็นองค์ชายที่เกิดจากสนม ไม่สมควรที่จะสืบทอดบัลลังก์ นอกจากนี้ในราชสำนักยังมีขุนนางอีกมากมายที่คิดเช่นเดียวกับเขา
ที่กล่าวเช่นนั้นไปเมื่อวาน ก็เพราะอยากให้ฮ่องเต้เสียหน้า ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะเห็นด้วยจริงๆ เช้าวันนี้ ทุกคนมาที่นี่ตั้งแต่เช้าก็เพื่อมารอดูเรื่องตลก
เมื่อเห็นอินชิงเสวียนทั้งสามคนมาถึงแล้ว ซ่งเฉียวอันก็ยืนเอามือไพล่หลัง เชิดหน้าชูคอพูดกับอินชิงเสวียนว่า “ทัพหน้ามีทหารทั้งหมดแปดพันนาย ตามความเห็นของข้า ไม่จำเป็นต้องทรมานพวกเขาทั้งหมด ให้เจ้ากับข้าคัดเลือกทหารคนละหนึ่งร้อยนายมาทำการฝึกซ้อม หลังจากนั้นอีกสิบห้าวันค่อยมาตัดสินว่าผู้ใดเหนือกว่ากัน ว่าอย่างไร”
อินชิงเสวียนรู้สึกไม่ดีต่อคนผู้นี้ ในเมื่อเขาไม่เกรงใจ เช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขา
แล้วพูดเรียบๆ “ได้ แต่ข้าต้องการฝึกทหารม้า ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพสามารถจัดหาม้าให้ได้หรือไม่”
ทหารของต้าโจวแบ่งออกเป็นสามทัพหลักหลักๆ คือ ทหารราบ ทหารหอก และทหารม้า ในหมู่พวกเขา ทหารม้าเป็นทหารที่ฝึกยากที่สุด ขันทีน้อยผู้นี้กลับร้องที่จะฝึกทหารม้า ซ่งเฉียวอันรู้สึกขบขันยิ่งนัก
แม่ทัพอีกหลายคนก็หัวเราะออกมาเช่นกัน ขันทีน้อยผู้นี้ประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป เขาคิดจริงๆ หรือว่าตัวเองแค่ขี่ม้าได้ ก็สามารถฝึกทหารม้าได้
ซ่งเฉียวอันหยุดหัวเราะ และถามพร้อมกับเหลือบมอง “กงกง เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการฝึกทหารม้า”
อินชิงเสวียนพูดอย่างเย็นชา “แน่นอน การเดิมพันนี้ก็มีโอรสสวรรค์เป็นประจักษ์พยาน แล้วจะล้อเล่นได้อย่างไร”
ซ่งเฉียวอันแค่นเสียง พูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าจะแข่งม้ากับเจ้า เด็กๆ ไปเตรียมม้ามา เสี่ยวเสวียนจื่อกงกง เจ้าไปเลือกคนได้แล้ว”
เบื้องหลังมีทหารยืนอยู่จำนวนมาก ทุกคนมองไปยังอินชิงเสวียนด้วยท่าทีเมินเฉย ไม่มีผู้ใดเห็นขันทีน้อยอยู่ในสายตาเลย
ขณะที่มองดูคนเหล่านี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าทันที
กวาดสายตารอบๆ ทันใดนั้นก็เห็นจังเถี่ย จึงชี้ไปที่เขาแล้วพูดว่า “เจ้าออกมา”
จังเถี่ยขมวดคิ้ว เมื่อวานนี้เขาเพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นขุนพลรอง แต่เอกสารอย่างเป็นทางการยังไม่ออกมา ดังนั้นเขาจึงยังคงยืนอยู่ในแถวพลทหาร เมื่อได้ยินอินชิงเสวียนเรียกตัวเอง ก็อดรู้สึกเสียหน้าไม่ได้
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ที่เคยประลองฝีมือกับฮ่องเต้ กลับต้องมาฝึกกับขันที ช่างไม่น่ายินดีเอาเสียเลย
ซ่งเฉียวอันกระตุกมุมปาก
“จังเถี่ย เรียกเจ้าอยู่นะ ออกมา”
ผู้ใดใช้ให้เจ้าโง่นี่ทำตัวเด่นเมื่อวาน ให้เขาอับอายไปพร้อมกับขันทีดีแล้ว
เมื่อซ่งเฉียวอันพูด จังเถี่ยจึงไม่กล้าปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงเดินออกมา
อินชิงเสวียนชี้ไปที่คนหนุ่มอีกหลายคน แล้วคิดว่าถ้าขืนเรียกคนออกมาเช่นนี้ต้องใช้เวลาเรียกอีกนานเพียงใด นางจึงขึ้นไปยืนบนแท่น และถามว่า “ผู้ใดจะเต็มใจมาฝึกกับข้า ให้ก้าวออกมาข้างหน้า ข้าไม่สามารถรับประกันสิ่งอื่นใดได้ แต่ข้าสามารถรับประกันได้ว่า พวกเจ้าจะมีผักและผลไม้อร่อยๆ รวมถึงแป้งสาลีได้กินทุกวัน”
เมื่อพวกเขาได้ยินว่าแป้งสาลี หลายคนก็สนใจทันที นี่คืออาหารที่ฮ่องเต้ยังบอกว่าดี ได้ยินมาว่าเสนาหานก็เคยกินอาหารนี้ด้วย เขากล่าวชมไม่ขาดปาก ไม่นึกว่าขันทีน้อยจะมีของดีเช่นนี้
เด็กหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดเลียริมฝีปาก แล้วลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ข้าไป”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...