แต่หมอกู้กลับมิยอมจากไปพลางกล่าวว่า “พระชายา ท่านอ๋องสั่งให้ข้ามาที่นี่หลัก ๆ ก็เพื่อดูว่าพอจะมีหนทางรักษาใบหน้าของพระชายาหรือไม่”
ลั่วชิงยวนจึงปฏิเสธออกไปว่า “ข้าไม่รักษาใบหน้าหรอก รักษาหายแล้วอย่างไรเล่า? ก่อนที่ใบหน้าของข้าเสียโฉม ท่านอ๋องก็รังเกียจข้าอยู่แล้วมิใช่หรือไร?”
นับประสาอะไรกับหมอกู้มีเจตนาร้ายด้วยเล่า ต่อให้หมอกู้คิดจะรักษาใบหน้าให้นางจริง ๆ นางก็มิกล้าให้เขาเห็นหรอก
นางมิได้เจ็บป่วยหรือบาดเจ็บสักนิด นางจะกล้าให้หมอกู้ดูได้อย่างไรกัน
นางหาได้ต้องการให้ผู้ใดล่วงรู้เรื่องที่นางลดน้ำหนักเมื่อไม่นานมานี้ มิฉะนั้นก็คงจะรู้ว่านางคือฉู่ลั่วได้ง่ายดายเกินไป
“ขอพระชายาอย่าได้คิดในแง่ร้ายเกินไปนัก พวกเราเพียงแค่รักษาโรคและบาดแผลเท่านั้น!” หมอกู้เอ่ยแนะนำ
ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยวาจาใดอีก แต่นางก็มิยอมให้จือเฉาเปิดประตูเช่นกัน
หลังจากนั้นสักพัก ซูโหยวก็กลับมาอีกครั้งแล้วอ้างว่าจะเข้าไปในเรือน แต่ประตูก็ไม่เปิดให้เขาเลย
ซูโหยวพยายามเกลี้ยกล่อมอยู่ข้างนอกเป็นนาน ทว่าลั่วชิงยวนก็มิเปลี่ยนใจ
แต่นางกลับร้องไห้ด้วยความทุกข์ระทมอยู่ในห้อง
“พวกเจ้าสองคนเหยียดหยามข้าที่สร้างความอับอายขายหน้าให้แก่ท่านอ๋อง เช่นนั้นก็มิควรพาตัวข้ากลับมาตั้งแต่แรก พอข้ากลับมาพวกเจ้าก็คิดบีบคั้นข้าจนตาย”
นางมิได้ร้องไห้เสียงดัง แต่กลับเจือเสียงสะอื้นจนได้ยินชัดเจน
สุดท้ายซูโหยวก็ไม่มีทางเลือก นอกจากกลับมารายงานท่านอ๋อง
หลังจากฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนี้ เขาก็มีสีหน้าไม่พอใจ “ไฉนเจ้าจึงดื้อรั้นถึงเพียงนั้น?”
ซูโหยวเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “กระหม่อมเกรงว่า บาดแผลบนใบหน้าของพระชายาคงทำให้นางปวดใจจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ว่ากันว่าก่อนหน้านี้ยามที่นางได้รับบาดเจ็บจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ มักเอาแต่สวมผ้าคลุมหน้าอยู่ตลอด แม้แต่จือเฉาก็ยังถูกสั่งห้ามมิให้มองเสียด้วยซ้ำไป”
หลังจากฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนี้เข้าก็รู้สึกหงุดหงิดใจอยู่บ้าง
“มีอะไรที่หมอกู้ทำมิได้ด้วยรึ? ให้เขาเขียนเทียบโอสถมาก่อนมิได้หรือไร?” ฟู่เฉินหวนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ซูโหยวส่ายหน้า “หมอกู้บอกว่าการสังเกต ฟังเสียงและไต่ถามเป็นเรื่องจำเป็น หากมิได้เห็นอาการของพระชายา จักมิทราบสาเหตุที่นางเสียโฉม เช่นนั้นก็ย่อมมิสามารถจ่ายยาได้ถูกโรคพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนี้ เขาก็ยิ่งเป็นกังวล
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดเขาก็เดินมาที่เรือนทักษิณา
ฟู่อวิ๋นโจวยังคงนอนอยู่บนเตียงอย่างกะปลกกะเปลี้ย เมื่อเขาเห็นฟู่เฉินหวนเข้ามาในห้อง เขาก็ค้ำยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าซีดขาว
“เสด็จพี่” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
ฟู่เฉินหวนจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย
สนุกมาก...
พระเอกก็โง่ นางเอกก็งี้เง่าไม่สมเหตุสมผลอะไรสักอย่าง ตอนแรกก็อวยยศเป็นถึงปรมาจารย์ แต่สกิลอ่อนด๋อยมาก เสียเวลาอ่านจริงๆ จะครึ่งเรื่องละยังไม่มีสาระอะไรเลย...
หลงเข้ามาอ่านเสียเวลาตั้งนาน ในเรื่องมีแต่พวกสติไม้เต็ม พระเอกปัญญาอ่อน+ ไบโพล่า กลับกลอกชิบหาย นางเอกก็โง่จนเอียนหวังพึ่งพอ ช่วยพอ.มันทำห่าอะไร ทำดีไม่เคยได้ดี ประสาทแดก...
นังเอกนี่ควายมั้ย โง่บรม...
กำลังสนุกเลยค่ะต่อๆค่ะ...
เนื้อเรื่องไม่มีความฉลาดเลย แต่ละคน บ้าบอมาก...
ตายๆ ไปซะ นางเอกไร้น้ำยา ทำอะไรก้ไม่ได้ดีซักอย่าง...
พระชายยา เหี้ยไร ไร้น้ำยาสิ้นดี เหมือนนางทาส...
นางเอกก็หน้าด้านชิบหาย ผัวเกลี่ยดขนาดนี้ ก็ยังหน้าด้านทน...
🫠...