นางเริ่มเกาหัวแกรกๆ พลางถามออกไป “ข้าขอพบนางได้หรือไม่”
เซวียนจี้ชวนยิ้มเล็กน้อย “ได้สิ ได้อยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะนางไม่มีที่มาที่ไป ข้าคงพามาพบท่านนานแล้ว”
เซวียนจี้ชวนไม่เคยคิดอยากแต่งงานมากขนาดนี้มาก่อน
“เจาเจา ท่านรองานแต่งของข้าค่อยกลับไปได้หรือเปล่า”
เซวียนจี้ชวนมองนางอย่างกระตือรือร้น
“เจาเจา สำหรับข้าแล้ว ท่านเปรียบเสมือนคนในครอบครัว ข้าหวังว่าท่านจะมาร่วมงานแต่งของข้าให้ได้นะ...” เขาเชื่อใจเจาเจาอย่างอธิบายไม่ถูก ไม่มีใครเทียบเทียมได้
ลู่เจาเจาหยุดไปครู่หนึ่งด้วยความลังเล “พระนางไทเฮาเพิ่งจากไปไม่นาน เจ้าต้องไว้ทุกข์สามปี มิสู้ค่อยมาอีกทีช่วงแต่งงานล่ะ”
เซวียนจี้ชวนหัวเราะออกมาทันที
“เพลานี้ข้าอายุครบ18แล้ว ราชวงศ์ตงหลิงมีศึกภายในจนไร้สายเลือดสืบทอด เหล่าขุนนางต่างกลัวว่าข้าจะไม่ยอมแต่งงาน จนนอนไม่หลับไปตามๆ กัน”
นับตั้งแต่เขาพาหญิงสาวคนหนึ่งกลับมาจากนอกวัง สายตาของขุนนางก็เต็มไปด้วยความปิตปยินดี และพากันคุกเข่าปลอบโยนบรรพบุรุษตงหลิง
“เหล่าขุนนางประกาศแล้วว่าพระนางไทเฮาทรงห่วงใยตงหลิง อยากให้มีลูกหลานสืบทอด ดังนั้นหนึ่งร้อยวันเท่ากับสามปี ข้าเพียงไว้ทุกข์ให้ครบร้อยวันก็เพียงพอ” หลังผ่านพ้นปีใหม่ก็แต่งงานได้แล้ว
“พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปรับเจ้าเข้าวัง ดีหรือไม่”
เซวียนจี้ชวนมองนางอย่างคาดหวัง
ลู่เจาเจาจึงพยักหน้าเห็นด้วย “ตกลง”
หลังจากที่เซวียนจี้ชวนจากไป ลู่เจาเจาก็ย่นใบหน้าเล็กๆ และพึมพำอย่างสงสัย “นางเหมือนข้ามากจริงๆ หรือ”
ทุกคนต่างแปลกใจเมื่อได้ยินว่าเซวียนจี้ชวนกำลังจะแต่งงาน
“ไม่แปลกเลยที่โคมขาวในเมืองใกล้ถูกถอดออกแล้ว ที่แท้ก็กำลังเตรียมพิธีอภิเษกของฮ่องเต้นั่นเอง”
อาหมานเคยเรียนรู้การทำอาหารมากมายจากแม่สามี และเรียนเพิ่มเติมหลังจากมาถึงตงหลิง บัดนี้นางกล่าวขึ้นว่า “ไม่กี่วันก่อนข้าได้ยินข่าวลือว่าฝ่าบาททรงพาสตรีคนหนึ่งมาจากนอกวัง ตอนแรกคิดว่าเป็นเพียงข่าวลือเสียอีก”
“มีคนบอกว่าสตรีคนนั้นราวกับเป็นนางฟ้า งดงามมากจนไม่เหมือนมนุษย์ แล้วยังจิตใจดีมากอีกด้วยนะ”
คืนนั้นเอง ลู่เจาเจาได้แต่นอนพลิกตัวไปมา ข่มตานอนไม่ลง
เต๋าสวรรค์ได้แต่ยืนเม้มริมฝีปากอยู่ข้างเตียงด้วยความหดหู่ “เจาเจา เจ้าโกรธเรื่องงานแต่งของเขาหรือเปล่า”
ลู่เจาเจาพลันลุกขึ้นนั่งด้วยความสับสน “ฮะ”
“ทำไมข้าต้องโกรธด้วย”
เด็กหนุ่มพึมพำเบาๆ “เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงนอนพลิกตัวไปมาแบบนี้ล่ะ”
ลู่เจาเจาเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางสดใสบริสุทธิ์ ปราศจากความคิดใดๆ กวนใจทั้งสิ้น
“มื้อเย็นข้ากินข้าวเหนียวไก่ไปเยอะน่ะ ก็เลยรู้สึกไม่สบายท้อง”
“อีกอย่าง แต่งงานจะได้กินในงานเลี้ยงอร่อยๆ ทำไมข้าต้องโกรธด้วย” แค่สงสัยที่มีคนหน้าคล้ายนางจริงๆ
ขันทียิ้มแล้วตอบว่า “หอคอยเก็บดาวพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นที่ประทับในอนาคตของพระนางฮองเฮา ฝ่าบาททรงมอบชื่อให้ว่าหอคอยเก็บดาว เริ่มก่อสร้างในวันที่ฝ่าบาทพาแม่นางเข้าวังพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อมาถึงหน้าพระราชวัง ขันทีก็ต้อนรับลู่เจาเจาเดินเข้าไปในตำหนัก
เซวียนจี้ชวนกำลังก้มหน้าเลือกของใช้ในงานแต่ง ใบหน้าของสำนักดาราศาสตร์ต่างเต็มไปด้วยความสุข ไม่เหมือนกับสีหน้าโศกเศร้าก่อนหน้านี้
“เอาไปให้เหอฮัวดู” เซวียนจี้ชวนโบกมือ ทุกคนจึงถอยหลังออกไป
“เจาเจา รีบเข้ามาสิ! ประเดี๋ยวเหอฮัวจะมาแล้ว…” เซวียนจี้ชวนมองเห็นลู่เจาเจา จึงรีบวางของตรงหน้าและตรงไปทักทายทันที
“เหอฮัว? นางชื่อเหอฮัวหรือ” ลู่เจาเจาถามพร้อมกับเอียงหัว
เซวียนจี้ชวนเลิกคิ้วด้วยรอยยิ้ม “อืม เหอฮัวเป็นเด็กกำพร้าถูกทิ้งน่ะ แม่บุญธรรมของนางกำลังซักผ้าอยู่ในสระบัว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเด็กทารกร้องไห้ นางจึงเดินเข้าไปเปิดใบบัวและเจอนางนอนอยู่บนใบบัวใหญ่ จากนั้นจึงตั้งชื่อให้นางว่าเหอฮัวที่แปลว่าดอกบัว”
“นางมีแซ่ไป๋”
ไป๋เหอฮัว... เปลือกตาของลู่เจาเจาพลันกระตุก
ขณะที่เขากำลังพูด ขันทีที่อยู่นอกประตูก็ประกาศขึ้นว่าแม่นางไป๋มาถึงแล้ว
ก่อนเข้าประตู ลู่เจาเจาได้กลิ่นดอกบัวที่คุ้นเคยลอยมาในอากาศ
รูปร่างของแม่นางไป๋นั้นสง่างามราวกับดอกบัวบาน ปักด้วยปิ่นรูปดอกบัวหยกขาวบนศีรษะ ทันทีที่นางเดินเข้ามา ดวงตาก็จับจ้องไปที่เซวียนจี้ชวนโดยตรง

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หนูน้อยจอมอิทธิฤทธิ์
ทำไมตัดเหรียญไปแล้วแต่ตอนไม่ปลดล็อคคะ ขึ้น error แต่หักเหรียญติดแจ้งปัญหาก็ไม่ได้...
ทำไมช่วงนี้ error บ่อยจังเลยคะ...
เติมเหรียญแล้วทำไมถึงปลดล็อคไม่ได้คะ...
ทำไมปลดล็อคไม่ได้คะ...
บท 613 ไม่ลงแล้วหรือค่ะ...
ไม่ลงต่อแล้วเหรอคะ...
อ่านบทที่ 613 กันที่ไหนคะ...
รอค่ะ แต่ช้าจัง สนุก รอค่ะ...
รอตอนต่อไปค่าา...
สนุกมากค่ะ รอตอนต่อไปอยู่ค่ะ...