ฉินเจียเหยียนที่ถูกนางชื่นชม รู้สึกราวกับล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ
แต่แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ก็แล่นเข้ามาในหัว เหยาจิ้งอี๋ เจ้าจงคอยดูเถอะ!
แววตาของเขาฉายแววเหี้ยมเกรียมน่ากลัว
หน้าประตูสถานศึกษามีบ่าวรับใช้ยืนรอต้อนรับเหล่าผู้สูงศักดิ์ที่ทยอยกันเข้ามา
ภายในสำนักศึกษาสตรีล้วนอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของหมึกและกระดาษ เสียงอ่านหนังสือของนักเรียนดังก้องไปทั่วบริเวณ
ฉินเหวินซีในชุดนักเรียนสีน้ำเงินขาว มองไปยังอวี้จูที่อยู่ไม่ไกล แววตาฉายแววเยาะหยัน
“โอ้ สถานศึกษาของเราเดี๋ยวนี้แมวหมาอะไรก็เข้ามาได้หมดแล้วรึ...” ฉินเหวินซีเดินเข้าไปใกล้ สายตาจ้องมองด้วยความมุ่งร้าย
“สถานที่อันทรงเกียรติและเคร่งขรึมเช่นนี้ เจ้ายังกล้ามายืนอยู่ตรงนี้ ไม่กลัวว่าจะทำให้สถานศึกษาแปดเปื้อนหรือไร?”
“รีบไสหัวไปให้พ้น! อย่ามาทำให้อาจารย์ครูแปดเปื้อนสายตา!!”
อวี้จูขมวดคิ้วเล็กน้อย นางเหลือบมองประตูห้องที่ปิดสนิท ก่อนจะยกนิ้วแตะริมฝีปากปราม “อย่าส่งเสียงดังในสถานศึกษา!” นางจำได้ นี่คือบุตรสาวของเหยาจิ้งหว่าน
ครั้งที่นางยังศึกษาอยู่กับอาจารย์ เคยได้ยินอาจารย์เอ่ยชมเด็กคนนี้สองสามครั้งว่าเฉลียวฉลาดอยู่บ้าง
ฉินเหวินซีหัวเราะออกมา
“เจ้าเป็นตัวอะไรกัน สถานศึกษามีกฎอย่างไร ข้ารู้ดีกว่าเจ้าเสียอีก”
“มารดาของเจ้าเป็นหญิงแพศยา นอนกับใครต่อใครก็ไม่รู้ ใครเป็นพ่อของเจ้าก็ยังไม่แน่ ข้าเตือนเจ้า รีบไปให้พ้นเถอะ อย่ามาทำให้ที่นี่แปดเปื้อน”
“จริงสิ เจ้ายังไม่รู้สินะ? ข้ากำลังจะได้เป็นศิษย์นอกสำนักของนักปราชญ์แล้ว ช่างเถอะ บอกไปเจ้าก็คงไม่เข้าใจ รีบเก็บข้าวของแล้วไสหัวออกไปจากเมืองหลวงกับแม่ของเจ้าซะ!” นางโบกมือไล่ สายตาที่มองมายังอวี้จูราวกับเป็นสิ่งปฏิกูล
อวี้จูกัดริมฝีปากแน่น พอดีกับที่เพื่อนร่วมสำนักมาตามฉินเหวินซีพอดี ฉินเหวินซีจึงฉีกยิ้มกว้างแล้วเดินจากไป
ทันทีที่นางเดินลับไป ประตูห้องด้านหลังก็เปิดออก
อวี้จูน้อยโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ท่านอาจารย์”
จือซินจับจ้องมองร่างที่จากไป พลางขมวดคิ้วแน่น
“ปากคายแต่คำหยาบช้า เปล่าประโยชน์! ต่อให้มีพรสวรรค์เลิศล้ำเพียงใด จะมีประโยชน์อันใด!”
ลู่เยี่ยนซูในฐานะขุนนางผู้รับราชการ และยังเป็นจอหงวนผู้สอบได้ที่หนึ่งทั้งสามระดับ นั่งอยู่ทางด้านซ้าย
ตำแหน่งกลางที่เว้นว่างไว้สำหรับนักปราชญ์
ทางด้านขวาคือองค์หญิงเจาหยาง ผู้ทรงเครื่องแต่งกายอย่างหรูหรา งดงามราวกับดวงจันทร์ที่ล้อมรอบด้วยหมู่ดาว
ทว่า จุยเฟิงยังคงติดตามอยู่เคียงข้าง ยืนกอดอกด้วยท่าทางเย็นชา
เห็นลู่เยี่ยนซูเดินเข้ามา นางก็เอ่ยเรียกเสียงหวาน “พี่ใหญ่”
ลู่เยี่ยนซูเดินเข้าไปลูบหัวน้องสาวผู้มีผมนุ่มดุจปุยขน พลางคิดในใจ
น้องชายกับน้องสาวช่างต่างกันเหลือเกิน
“ลู่เยี่ยนซูเป็นขุนนางคนสนิทของฮ่องเต้ บัดนี้ยิ่งใหญ่คับฟ้า คุมอำนาจทั้งราชสำนัก ข้าจะมีปัญญาไปนั่งร่วมโต๊ะกับท่านได้เยี่ยงไร?” น้ำเสียงของเขาแฝงความตกตะลึง นั่นเป็นที่ที่ข้านั่งได้งั้นรึ?
ตัวเขาก็แค่ได้อาศัยความคุ้นเคยจากการพบกันครั้งหนึ่งในวัยเยาว์ ถึงได้กล้าเอ่ยปากทักทาย
เหยาจิ้งหว่านเม้มริมฝีปากแน่น ในวินาทีนี้ นางรู้สึกขายหน้ายิ่งนัก
ที่ซีเหอ ตระกูลเหยาและตระกูลฉินถือเป็นตระกูลใหญ่ที่ทรงอิทธิพลที่สุด พี่หญิงใหญ่ของนางได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี เป็นแบบอย่างของกุลสตรีที่งดงามและเพียบพร้อม
ส่วนตัวนางเองนั้น ร่างกายอ่อนแอ ทั้งยังเอาแต่ใจ ไม่ชอบเรียนรู้กฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ เอาเสียเลย
ลับหลัง นางมักจะดูถูกเหยียดหยามพี่หญิงว่าเป็นเหมือนหุ่นเชิด ไร้ซึ่งความคิดเป็นของตัวเอง
แม้แต่ฉินเจียเหยียนก็เคยเอ่ยปากชมว่า นางมีชีวิตชีวากว่าพี่หญิง มีความคิดเป็นของตัวเอง ราวกับนกน้อยที่ร้องเพลงอย่างอิสระ ไม่เหมือนเหยาจิ้งอี๋ที่เฉื่อยชาไร้เสน่ห์
บัดนี้…
คนที่เคยชมว่านางปราดเปรื่อง กลับเป็นคนเดียวกับที่รังเกียจว่านางโง่งม
ฉินเจียเหยียนเหลือบมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน สายตาของเขาพลันแข็งกร้าวขึ้น
“จิ้งหว่าน เจ้ารู้สึกบ้างไหมว่าองค์หญิงเจาหยางดูคุ้นตา ราวกับเคยพบเจอที่ไหนมาก่อน?”
เหยาจิ้งหว่านรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย เหลือบมององค์หญิงเจาหยางอย่างรวดเร็ว ก่อนเอ่ยว่า “ด้วยฐานะของพวกเรา จะมีโอกาสได้พองค์หญิงเจาหยางได้อย่างไร ท่านคงจำคนผิดแล้วกระมัง”
ฉินเจียเหยียนครุ่นคิด ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หนูน้อยจอมอิทธิฤทธิ์
ทำไมตัดเหรียญไปแล้วแต่ตอนไม่ปลดล็อคคะ ขึ้น error แต่หักเหรียญติดแจ้งปัญหาก็ไม่ได้...
ทำไมช่วงนี้ error บ่อยจังเลยคะ...
เติมเหรียญแล้วทำไมถึงปลดล็อคไม่ได้คะ...
ทำไมปลดล็อคไม่ได้คะ...
บท 613 ไม่ลงแล้วหรือค่ะ...
ไม่ลงต่อแล้วเหรอคะ...
อ่านบทที่ 613 กันที่ไหนคะ...
รอค่ะ แต่ช้าจัง สนุก รอค่ะ...
รอตอนต่อไปค่าา...
สนุกมากค่ะ รอตอนต่อไปอยู่ค่ะ...