ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น นิยาย บท 135

ลู่ยุ๋นหลัวชำเลืองมองเขาอย่างเรียบเฉยด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย "บางทีท่านตาเองอาจจะคิดถึงข้าตลอดช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา บางทีวันนี้อาจได้ยินเสียงข้าคุยกับนางเลยทำให้เขาตื่นขึ้นก็เป็นได้ เพียงแต่ขนาดเขาออกเสียงเอื้อนเอ่ยก็นับว่าเป็นเรื่องที่ยากแล้ว”

คำพูดของลู่ยุ๋นหลัวก็ดูมีเหตุผล พี่ชายใหญ่ของเขาที่โปรดปราณหลานสาวของเขาอยู่ตลอด ว่ากันว่าเขาล้มป่วยลงตอนได้ยินเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของครอบครัวของลู่ยุ๋นหลัว

พอมาวันนี้เมื่อได้ยินว่าหลานสาวของเขาซึ่งคิดถึงมาโดยตลอดกลับมา ก็ไม่น่าแปลกใจที่จะลืมตาและพูดกล่าวออกมาได้สักสองประโยค

ในวันธรรมดา พี่ชายใหญ่ของเขาร่างกายอ่อนแอ ไม่มีแรงที่จะลืมตา

แพทย์ยังบอกอีกว่าทำได้แค่ได้ยินเสียงคุยกันข้างนอกเท่านั้น

“พี่ชายใหญ่ได้บอกรึไม่ ว่าจะรับใครไปเลี้ยงเป็นบุตร ?” ท่านตาคนสามตื่นเต้นเล็กน้อยในทันใด

“ท่านตาอาจจะรู้สึกตื่นเต้นเมื่อพบข้าก็ได้ เขาพูดได้ประโยคเดียวก็ผล็อยหลับไป”

“พี่ชายใหญ่ท่านกล่าวว่าอย่างไร ? นายหญิงได้โปรดบอกด้วยเถอะพะยะค่ะ ข้าร้อนรนจะตายอยู่แล้วพะยะค่ะ” ท่านตาคนสามอารมณ์โกรธขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

แม้แต่ท่านตาคนรองที่ฉลาดหลักแหลมก็ยังจ้องมองนางอยู่ในตอนนี้

ลู่ยุ๋นหลัวเมื่อเห็นคนทั้งสองก็พอจะเชื่ออยู่บ้าง ดังนั้นนางจึงพูดไป "ท่านตาบอกว่า ผู้ที่สามารถรับมอบบรรดาศักดิ์ได้จะต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์"

ตามความเข้าใจของนาง ลูกชายของพี่น้องท่านตาทั้งสองตระกูลล้วนไม่ได้เป็นคนดีอะไรเท่าไหร่นัก

แม้จะบอกว่าการพิสูจน์ว่าตนเองเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์จะเป็นเรื่องยาก แต่การพิสูจน์ฝ่ายตรงข้ามก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเช่นเดียวกัน

สิ่งที่นางต้องการคือให้ทั้งสองครอบครัวสาดโคลนใส่กัน

ให้ศึกดำเนินไปอย่างช้า ๆ

ท่านตาคนรองและท่านตาคนสามขมวดคิ้วเล็กน้อย จิตใจบริสุทธิ์ แม้จะพูดว่าดูเหมือนง่าย แต่จะพิสูจน์ได้เยี่ยงไรว่าลูกชายคนโตของครอบครัวของตนนั้นมีจิตใจที่บริสุทธิ์ ?

ดวงตาของทั้งสองประสานกัน พร้อมกับมีประกายไฟที่ครุกรุ่นฉายเล็กน้อย

"ในเมื่อฝ่าบาทพระราชอนุญาตให้ข้าออกมาเยี่ยมท่านตา การรับตำแหน่งบรรดาศักดิ์นี้ ข้าตอนนี้ก็ให้ความสนใจอยู่เช่นเดียวกัน เมื่อถึงเวลา ข้าก็ต้องทรงทูลรายงานต่อฝ่าบาทเช่นเดียวกัน" ลู่ยุ๋นหลัวรู้สึกว่าตนได้พูดในสิ่งที่ตนพูดไปหมดแล้ว นางจึงลุกขึ้นและพูด "ช่วงไม่กี่วันนี้ข้าจะพำนักอยู่ในจวนกั๋วกง หากท่านตาคนรองและท่านตาคนสามมีเรื่องอะไรก็รีบมาหาข้าได้ทุกเมื่อ"

หลังจากพูดจบ ก็พาแม่นมโจวลงไป

"แม่นมโจว เจ้ารู้หรือไม่ว่าร้านโอสถหรือโรงแพทย์แห่งใดในเมืองหลวงมีวัตถุดิบยาหายากบ้าง” ลู่ยุ๋นหลัวคิดอยู่นาน พบว่านางกลับไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับร้านโอสถในเมืองหลวงเลย

พิษในร่างกายท่าตารักษาไม่ยากนัก แต่การเตรียมยาแก้พิษต้องใช้วัตถุดิบยาหายากสองสามชนิด

"โรงแพทย์ ? แน่นอนว่าต้องหอเซียนแพทย์ ว่ากันว่า หอเซียนแพทย์นี้ยังมีสมบัติทางธรรมชาติที่หายากในโลก นับประสากับเม็ดยาทั่วไปและวัตถุดิบยาเพคะ"

“นอกจากนี้ที่หอเซียนแพทย์ยังมียาเก้าฟื้นวิญญาณที่ทรงพลังมากอย่างยิ่ง หลังจากทานไปแล้ว แม้แต่คนตายก็สามารถฟื้นคืนขึ้นมาจากผืนดินภายในเวลาแค่ครึ่งก้านธูป อย่างไรก็ตาม ยาเก้าฟื้นวิญญาณมีเพียงไม่กี่เม็ดต่อปีเท่านั้น ราคาที่ขายกันก็สูงเสียดฟ้า คนธรรมดาแทบจะไม่สามารถซื้อมันได้เลยเพคะ”

ตั้งแต่แม่นมโจวไปจนถึงหยินซวางเมื่อรู้ว่านายหญิงของนางสูญเสียความทรงจำไปบางส่วน ก็คุ้นเคยกับการตอบคำถามพื้นฐานทั่วไปเหล่านี้ที่นายหญิงเป็นผู้ถาม

“ยาเก้าฟื้นวิญญาณ ?”

นี่มันไม่ใช่ยาอายุวัฒนะในตำราแพทย์โบราณหรอกหรือ ?

ตอนที่นางอยู่ในตำหนักเย็น เนื่องจากนางมักจะไปที่โรงแพทย์หลวงในตอนกลางคืนอยู่ตลอด ปกติก็มักจะใช้วัตถุดิบยาทั่วไป

อยู่มาวันหนึ่ง ค้นพบว่าวัตถุดิบสมบัติทางธรรมชาติของยาเก้าฟื้นวิญญาณโดยบังเอิญ ซึ่งถูกซ่อนไว้อย่างลับ ๆ

ตอนนั้นก็ขโมยหยิบออกมา

ใช้เวลาสิบวันในการพากเพียรอย่างหนักเพื่อผลิตยาเก้าฟื้นวิญญาณหนึ่งขวดเล็ก ๆ เพื่อไว้ช่วยชีวิต

เดิมทีก็อยากทำมากกว่านี้ แต่น่าเสียดาย ที่วัตถุดิบทางยาชนิดนี้ดูจะหายากและมีราคาแพงมาก ชนิดที่มีราคาสูงแต่กลับไม่มีขายในตลาด

โรงแพทย์หลวงครั้งนั้นก็ใช้พระราชทรัพย์ในนามของราชวงศ์จำนวนมากถึงจะซื้อมาได้ ซึ่งไม่ง่ายเลยกว่าจะเอามาทำยาถวายพระพันปีหลวงเพื่อบำรุงพระวรกายให้แข็งแรง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น