ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น นิยาย บท 47

เพียงนางกล่าวจบ นางก็พลันเห็นรอยกระตุกยิ้มที่มุมปากของขันทีเฉิง พร้อมกับพูดด้วยอารมณ์ขุ่นมัว “เสี่ยวลู่จึ เจ้าอย่าเอาความสัมพันธ์ของเรามาเล่นโดยการเอาสิ่งของในฝันของเจ้ามาล้อข้าเล่นสิ !”

เมื่อกี้เขาเชื่อสิ่งที่นางพูดจนสนิทใจ

“ช่วงสองสามวันมานี้ข้าสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ข้าขอโทษเจ้าละกัน” นางพูดจบก็ประจวบเหมาะกับที่เสี่ยวลี่จึหยิบน้ำแข็งมาให้หนึ่งถาดพอดี

นางรีบเทก้อนน้ำแข็งลงในกาพร้อมกับกล่าวลา “ขันทีเฉิง ข้ายังมีธุระที่อื่นต่อ ข้าขอตัวก่อน”

พูดจบนางก็ปลีกตัวออกไปทันที

นางเกรงว่าถ้ายังไม่รีบไปขันทีเฉิงจะต้องแตกคอกับนางเป็นแน่

เมื่อเสี่ยวลี่จึเห็นแผ่นหลังของลู่ยุ๋นหลัวที่กำลังเดินจากไปก็ฉุกถามขึ้นมา “ทำไมเสี่ยวลู่จึพอเห็นข้าก็รีบวิ่งจากไปหละ ?”

ขันทีเฉิงมองหน้าเขาอย่างหมดคำพูด “เจ้านี่ก็รู้จักเอาทองมาติดหน้าตัวเองเหมือนกันนะ (เอาทองมาติดหน้าตัวเอง หมายถึง การชมตัวเองหรือผู้อื่นด้วยสีหน้าที่ดูย่ำแย่) เขาเพิ่งล้อข้าเล่นจนกลัวว่าข้าจะแตกคอกันก็เลยรีบกลับไป เจ้ารีบกลับไปทำงานได้แล้ว”

ณ ภายในตำหนักซู่ซิน

ร่างเงาสีดำพลันปรากฏขึ้น

ผู้มาเยือนนั้นเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นดั่งองครักษ์เร้นกายนามว่าเป้ยหมิง

ไม่กี่วันก่อนที่จี้อู๋เจวี๋ยออกจากตำหนักเย็นมาก็ได้ทรงบัญชาให้เป้ยหมิงคอยรอบเร้นกายตรวจตราปกป้องบริเวณตำหนักเย็นให้ปลอดภัย

หากไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นเขาก็จะไม่ปรากฏกายออกมาอย่างง่าย ๆ

“องค์จักรพรรดิ มีองครักษ์เร้นกายอยู่หลายนายรายงานว่าช่วงไม่กี่วันที่ตำหนักเย็นได้ยินเสียงระเบิดแปลก ๆ ออกมาจนบางครั้งก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือน แต่โดยปัจจุบันนายหญิงไม่ได้รับอันตรายใด ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้รู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดจะผิดสังเกตุประการใด”

“เสียงระเบิด ? รู้มั๊ยว่าสิ่งใดทำให้เกิดเสียงระเบิด ?”

ตำหนักเย็นก็ตั้งอยู่ ณ ที่ห่างไกลผู้คน ซึ่งน่าจะไม่ควรมีเหตุโกลาหลอะไรอื่นได้

“กราบบังคมทูลองค์จักรพรรดิ เนื่องจากทรงมิได้รับสั่งให้อนุญาตเข้าไปภายในตำหนักเย็นได้ เช่นนี้จึงมิสามารถรู้ได้ว่าต้นกำเนิดเสียงนี้มาจากสิ่งใด แต่หากพูดตามความจริงที่ได้รับรายงานมา เหล่าองครักษ์คิดว่าแรงระเบิดนั้นอานุภาพค่อนข้างสูง เพียงได้ยินเสียงก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้แล้ว”

จี้อู๋เจวี๋ยพลันทรงลุกขึ้น เหล่าองครักษณ์เร้นกายเหล่านั้นเป็นถึงผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้าที่เป็นดั่งพลพรรคปีศาจที่ถูกเลือกมาจากอันดับสูงสุดของบรรดาผู้มีฝีมือเยี่ยมยุทธิ์ระดับสูง

ถ้าหากขนาดพวกเขายังรู้สึกถึงความหวาดกลัว เท่ากับว่าเสียงแรงระเบิดที่ได้ยินจะต้องไม่ธรรมดา

ภาพในหัวของเขายังปรากฏใบหน้าที่ยิ้มเยาะของลู่ยุ๋นหลัว ไม่รู้ว่าเหตุอะไรเขากลับมีลางสังหรณ์ว่าเสียงระเบิดแปลก ๆ นั้นจะต้องมีอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกับนาง

“คอยเฝ้าสังเกตการณ์ต่อไป หากมีสถานการณ์อื่นใดอีกให้กลับมารายงานได้ทุกเมื่อ !” จี้อู๋เจวี๋ยตรัสกล่าว

“พะยะค่ะ“

“ข้าน้อยมีอีกเรื่องที่ต้องกราบบังคมทูล” หมวกปีกกว้างใบใหญ่ที่บัดนี้ปกปิดรูปลักษณ์ของเป้ยหมิงไว้แม้ในห้องจะมีแสงสว่างเพียงใดก็ยังยากที่จะเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขา

“เจ้าว่ามา !”

“ไม่กี่วันก่อนองค์จักรพรรดิทรงมีรับสั่งให้ข้าน้อยตรวจสอบเรื่องหนึ่ง บัดนี้ได้ความคืบหน้าแล้วซึ่งเป็นไปตามที่องค์จักรพรรดิคาดไว้ นายหญิงก่อนที่ถูกให้พำนักตำหนักเย็นได้สูญเสียความทรงจำไป ว่ากันว่าเพื่อปฏิเสธการราชาภิเษกกับองค์จักรพรรดิ นางจงใจโขกศีรษะกับเสาจนหมดสติ และเมื่อนางตื่นขึ้นมาความทรงจำบางช่วงก็ได้ขาดหายไป”

สีหน้าของจี้อู๋เจวี๋ยจริงจังขึ้นเล็กน้อย

มีข่าวลือหนาหูว่าบุตรสาวคนโตจากจวนอัครมหาเสนาบดีชื่นชอบในตัวของเสด็จลุงสาม จนถึงขนาดที่อดทนลำบากฝึกฝนทางด้านดนตรี บรรเลงพิณและขลุยร่วมกันจนกระทั่งชนะเลิศการแข่งขันที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง

ถ้าไม่เป็นเพราะว่าเสด็จพ่อของเขาทรงมีพระบรมราชโองการนั้นขึ้นมา นางตอนนี้ก็คงเป็นมเหสีของเสด็จลุงสามไปแล้ว

ยอมเอาหัวโขกเสาแต่ไม่ยอมราชาภิเษกกับเขา งั้นหมายถึงยอมเพื่อเสด็จลุงสามงั้นเหรอ ?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จี้อู๋เจวี๋ยแววตาสีน้ำหมึกของเขาก็ส่อประกายขึ้นมา

เขาโบกพระหัตถ์เพื่อบ่งบอกถึงการรับสั่งให้กลับไปปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม อีกทั้งยังตรัสเรียกเฉาจงฉวนให้เข้าเฝ้า ถ้าเขาจำไม่ผิดนางกำลังวางแผนที่จะหลบหนีออกจากวัง

หลังจากเขาตรัสแผนการให้ทราบแล้วก็รับสั่งให้เฉาจงฉวนปฏิบัติโดยทันที

“กราบบังคมทูลองค์จักรพรรดิ บัดนี้ด้านนอกมีขันทีนามเสี่ยวลู่จึมาขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ” ขันทีที่กราบบังคมทูลอยู่ขณะนี้อยู่ในสายบัญชาของเฉาจงฉวน ซึ่งเมื่อสองวันก่อนเฉาจงฉวนได้สั่งให้ขันทีผู้นี้กราบบังคมทูลต่อองค์จักรพรรดิทันทีเมื่อขันทีเสี่ยวลู่จึขอเข้าเฝ้า

จี้อู๋เจวี๋ยกระตุกยิ้มที่มุมปาก ซึ่งเขากำลังอยากไปหานางพอดี นางก็มาหาถึงที่ “เชิญ !”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น