ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น นิยาย บท 46

“ขันทีเฉิง พวกเจ้าปกติถวายพระกายาหารจำพวก ไก่ เป็ด กวาง แกะ พวกนี้แก่คนในวังงั้นเหรอ ?” ลู่ยุ๋นหลัวสงสัยจริงว่าทุกวันทานแต่อาหารประเภทเนื้อพวกนี้ในหน้าร้อนกันลงจริงเหรอ ?

“ก็ใช่นะสิ คนในวังก็ต้องทานอาหารที่อุดมสมบูรณ์อันโอชะอยู่แล้ว”

“อากาศร้อนแล้วยังกินอาหารประเภทนี้ จะไม่เป็นร้อนในงั้นเหรอ ?”

“ร้อนใน ?” ขันทีเฉิงกุมที่คางอย่างสงสัย “ก็ดูเหมือนว่าหมอหลวงเคยทรงตรัสไว้ว่าพระพันปีหลวงทรงมีอาการร้อนในตั้งแต่เข้าคิมหันต์ฤดูมาซึ่งทำให้ตัวขององค์พระพันปีหลวงเองทรงไม่ค่อยอยากอาหาร”

“แต่ทุกวันก็จะจัดเตรียมสำรับเป็นต้มถั่วเขียวไว้คลายร้อนอยู่แล้ว ส่วนพระกายาหารหลักก็ยังคงเหมือนเดิม ถ้าไม่ทำพระกายาหารประเภทเนื้อพวกนี้ถวาย แล้วจะเสวยอะไร ? จะให้พระพันปีหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์เสวยผักทุกวันข้าว่าก็คงไม่ใช่ ?”

ถึงแม้เขาจะอยากทำอาหารจานอื่น แต่เนื่องด้วยวัตถุดิบและส่วนผสมที่มีอยู่ทำให้ทำไปทำมาก็วนอยู่กับอาหารจานเดิม ๆ

“เจ้าลองนำมาจับคู่กับผักตามฤดูกาลดูสิ อย่างเช่นพวกถั่วฝักยาว แตงกวา กุ่ยช้าย กะหล่ำดอก ผักจำพวกนี้จะไม่มีได้เยี่ยงไร ? ผักและเนื้อจะต้องกลมกลืนสมดุลกันคุณค่าทางอาหารมันถึงจะสมบูรณ์”

ขันทีเฉิงเป็นถึงขันทีสูงสุดประจำห้องปรุงพระกระยาอาหาร เรื่องพื้นฐานแค่นี้มีหรือที่จะไม่เข้าใจ ?

ลู่ยุ๋นหลัวรู้สึกแคลงใจ

“ที่เจ้าพูดถึงกุ่ยช้าย ห้องปรุงพระกระยาอาหารแห่งนี้ย่อมมีแน่นอน แต่ที่เจ้าพูดว่าถั่วฝักยาว แตงกวา อะไรพวกนี้มันกินได้งั้นเหรอ ? ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน ?

เขารู้ดีว่าเจ้าเสี่ยวลู่จึคนนี้ชอบทำอาหารแปลกใหม่อยู่เสมอ แต่พวกผักและแตงที่เอ่ยมานั้นเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

ลู่ยุ๋นหลัวถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก

ไม่เคยได้ยินถั่วฝักยาว แตงกว่า กะหล่ำดอกเนี่ยนะ ?

ขันทีเฉิงกำลังล้อนางเล่นอยู่ใช่มั๊ย ?

ขันทีเฉิงเมื่อเห็นท่าทีของลู่ยุ๋นหลัวงงงันอยู่ เขาก็คิดว่าลู่ยุ๋นหลัวอาจฟังได้ไม่ชัดในสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปพร้อมกับพูดอีกครั้ง “ผักและแตงที่เจ้าพูดชื่อมา ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย มันมีขายที่ไหนบ้างหละ แล้วรสชาติเป็นไงบ้าง เจ้าบอกข้าหน่อยสิ ?”

ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะทำอาหารจานใหม่ ๆ แต่น่าเสียดายที่วัตถุดิบและส่วนผสมนั้นมีอย่างจำกัด ถ้าเขาสามารถทำอาหารจานใหม่ ๆ ออกมาได้จริง ไม่แน่เขาก็อาจจะได้เป็นคนโปรดขององค์จักรพรรดิและพระพันปีหลวงก็เป็นได้

ลู่ยุ๋นหลัวยังคงมองขันทีเฉิงอย่างสงสัย ดูแล้วที่ขันทีเฉิงพูดคงจะเป็นเรื่องจริง

แต่เขาเป็นถึงขันทีสูงสุดของห้องปรุงพระกระยาอาหาร ทำไมแค่ถั่วฝักยาว แตงกวา กะหล่ำดอกจำพวกนี้เขาถึงกลับไม่เคยได้ยินมาก่อน

และแล้วความคิดแปลก ๆ ก็พลันผุดขึ้นหัวในของนาง

นางกลับไม่ได้ตอบคำถามในสิ่งที่ขันทีเฉิงสงสัยพร้อมกับถามกลับอีก “ขันทีเฉิง เจ้าพอบอกข้าหน่อยได้มั๊ยว่าห้องปรุงพระกระยาอาหารแห่งนี้โดยปกติทานผักอะไรกัน ?”

“โดยหลักแล้วก็จะมี กุ่ยช้าย จี่ไฉ่ และพวกชบา รวมไปถึงผักป่าต่าง ๆ ถ้านับแล้วก็มีแค่ไม่กี่อย่าง อีกทั้งผักพวกนี้ก็หาทานได้แค่เฉพาะวสันตฤดู(วสันตฤดู คือ ฤดูใบไม้ผลิ)และคิมหันต์ฤดูเท่านั้น เมื่อเข้าเหมันต์แล้วก็คงหาทานไม่ได้อีกแล้ว”

เป็นไปตามคาด

ผักในมิติพิเศษที่นางเห็นเป็นประจำอาจยังไม่ถูกค้นพบในยุคราชวงศ์นี้

บางทีพวกผลไม้และธัญพืชในมิติพิเศษนั้นก็อาจจะยังไม่มีในยุคราชวงศ์นี้อยู่เลยก็ได้

เป็นเรื่องที่น่าแปลกว่าความทรงจำของนางกับความทรงจำของเจ้าของเดิมกลับไร้ซึ่งความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

เมื่อเห็นท่าทีของขันทีเฉิงที่ยังแคลงใจสงสัยอยู่ นางก็ตัดสินใจที่จะไม่นำเรื่องนี้ไปบอกใครจนกว่านางจะมีความเข้าใจต่อชนิดของพืชผักและผลไม้เป็นอย่างดีก่อน

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางก็รีบกล่าวขออภัยกับขันทีเฉิง “ช่วงสองวันนี้ข้าสับสนเล็กน้อย ตอนหลับฝันข้าเห็นของบางอย่างก็คิดว่าห้องปรุงพระกระยาอาหารน่าจะมี ข้าขอโทษละกัน !”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น