กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ นิยาย บท 553

รู้ว่านางมีนิสัยดื้อรั้น เยี่ยจิ่งหานรู้ว่าหากบีบบังคับฝืนพานางออกไปจากที่นี่ละก็ ถึงอย่างไรนางก็ไม่ยอม จึงทำได้เพียงถอยออกมาก้าวหนึ่ง

"วันนี้ท่านต้องมีเรื่องกับข้าให้ได้เลยใช่หรือไม่?"

แววตาของกู้ชูหน่วนดูไม่สบอารมณ์และไม่พอใจอย่างมาก ไม่ว่าจะพูดดีหรือไม่ดีนางก็พูดไปหมดแล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่ยอมออกไป นางรู้สึกหมดหนทาง

แต่ค่ายกลนี้ นางจำเป็นต้องบุกฝ่าฟันเข้าไปให้ได้

กู้ชูหน่วนทำการเคลื่อนไหวอย่างเจ้าเล่ห์ไปทางซ้ายทีขวาที เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเยี่ยจิ่งหาน และใช้โอกาสตอนที่เยี่ยจิ่งหานไม่ทันระวังตัวนางก็เขย่งเท้ากระโดดขึ้นไปเกาะโซ่ตรวนเหล็กเพื่อขึ้นไปข้างบน

"ฉับ......"

"ตึ่ง......"

ข้อเท้าของกู้ชูหน่วนไม่รู้ว่าถูกใครคว้าเอาไว้ จากนั้นนางก็ตกลงไปจนเกือบจะล้มเกลือกกลิ้ง

"เยี่ยจิ่งหาน ท่านยังไม่หยุดอีกหรือ?"

กู้ชูหน่วนใช้มือขวาพยุงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างเกรี้ยวกราด และมองไปยังผู้ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความโกรธเคือง

แต่เมื่อลืมตาขึ้นและสังเกตอย่างละเอียดถี่ล้วนแล้วนั้น ผู้ที่นั่งยองอยู่ตรงหน้าของนางกลับไม่ใช่เยี่ยจิ่งหาน แต่กลับเป็นซือม่อเฟยที่มีใบหน้าสะอาดสะอ้านและไร้เดียงสา

นางหันไปมองเยี่ยจิ่งหานและหันไปมองซือม่อเฟย จากนั้นจึงพูดขึ้นมา "พวกเจ้าสองคนรวมหัวกันรังแกข้าอย่างนั้นหรือ?"

"พี่หญิงพูดอะไรเช่นนี้ อาม่อจะร่วมมือกับเขาเพื่อกลั่นแกล้งพี่หญิงได้อย่างไร อาม่อเพียงแค่ต้องการขึ้นไปยังค่ายกลล้ำค่านี้กับพี่หญิงก็เท่านั้นเอง"

นิ้วมือที่เรียวยาวของซือม่อเฟยชี้ขึ้นไปยังโซ่เหล็กเก้าเส้นขนาดมหึมาข้างบนนั้น และใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันบริสุทธิ์และดวงตาอันเย้ายวนของเขาก็มองขึ้นไปข้างบนนั้น

ไม่นาน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของจอมมารก็เกิดความสงสัยขึ้นมา เขาจ้องมองไปที่ภูเขารูปดาบเหนือศีรษะของเขาและรู้สึกเกร็ง

"พี่หญิง นี่ไม่ใช่ค่ายกลล้ำค่าอะไรเลย แต่นี่เป็นค่ายกลพิฆาต หากข้าเดาไม่ผิด ภายในจะต้องมีค่ายกลขนาดใหญ่ที่ปกคลุมค่ายกลขนาดเล็กเอาไว้ โดยใช้ค่ายกลขุมทรัพย์ล้ำค่าเป็นเหยื่อล่อ แต่ภายในห่อหุ้มไปด้วยค่ายกลพิฆาตที่มีความโหดเหี้ยมอย่างมากเอาไว้"

กู้ชูหน่วนกลอกตาขาวใส่

ในเรื่องของค่ายกลนั้น นางก็พอมีความรู้และทักษะทางด้านนี้อยู่บ้าง

คำพูดของซือม่อเฟยนั้น นางก็เคยเกิดความสงสัยขึ้น

แต่นางไม่มีทางเลือกอื่น ต่อให้ยากลำบากเพียงใดนางก็ต้องฝ่าฟันเข้าไปให้ได้

"หากเจ้ากลัว เช่นนั้นก็รีบออกไปเถอะ อย่าได้ตามข้าไปทุกที่อีกเลย"

"อาม่อเป็นของพี่หญิงแล้ว ไม่ว่าพี่หญิงจะไปที่ไหน อาม่อก็จะติดตามไปด้วยทุกที่" สีหน้าของจอมมารแดงก่ำด้วยความเขินอาย

คำพูดและท่าทางของเขาทำให้เยี่ยจิ่งหานรู้สึกโมโหมาก

เยี่ยจิ่งหานจับกุมมือซ้ายของกู้ชูหน่วนและดึงนางเข้าไปใกล้เขา จากนั้นพูดตักเตือนขึ้นมา "ซือม่อเฟย นางเป็นผู้หญิงของข้า หากเจ้ายังกล้าพูดขึ้นมาอีกครั้ง เช่นนั้นข้าจะถล่มหุบเขาพิศวิญญาณของเจ้าให้ไม่เหลือซากเลยคอยดู"

จอมมารขยับตัวและดึงมืออีกข้างของกู้ชูหน่วนเอาไว้และพูดอย่างยั่วยุ "ก่อนที่เจ้าจะถล่มหุบเขาพิศวิญญาณจนไม่เหลือซาก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะถล่มจวนหานอ๋องของเจ้าจนไม่เหลือซากเสียก่อน"

ทั้งสองฉุดกระชากกันคนละฝั่งโดยมีกู้ชูหน่วนอยู่ตรงกลาง นางถูกดึงไปมาจนเจ็บแขนเจ็บไหล่

นางสะบัดมือออกและพูดอย่างไม่สบอารมณ์ "พวกเจ้าทั้งสองคนต้องการฉีดข้าออกเป็นชิ้นๆ อย่างนั้นหรือ ไม่เช่นนั้นก็ไสหัวออกไปจากเขตหวงห้ามทั้งหมด หรือไม่ก็ให้ข้าตายลงต่อหน้าพวกเจ้า"

"อาหน่วน......"

"พี่หญิง......"

กู้ชูหน่วนหยิบปิ่นปักผมออกมาจี้เข้าไปที่คอของนางและพูดตักเตือนเสียงดังฟังชัด "ความอดทนของข้ามีขีดจำกัดและค่ายกลนี้ วันนี้ข้าจำเป็นต้องบุกฝ่าฟันเข้าไป ใครก็ไม่อาจขัดขวางข้าได้ หากใครกล้าขัดขวางข้า เช่นนั้นข้าจะตายให้ดูต่อหน้าของเขาคนนั้น อย่าคิดว่าข้าพูดเล่นเท่านั้น"

เยี่ยจิ่งหานและจอมมารจ้องหน้ากัน แววตาของทั้งสองที่มองซึ่งกันและกันนั้นมีแต่ความรังเกียจ

ทั้งสองพูดอย่างพร้อมเพรียงกัน "หาก(เจ้า/ท่าน)จำเป็นต้องขึ้นข้างบนละก็ เช่นนั้นข้าจะไปด้วย"

กู้ชูหน่วนวางปิ่นปักผมในมือลงและคว้าโซ่เหล็กเพื่อขึ้นไปข้างบนอีกครั้ง และปากของนางก็บ่นพึมพำ "ข้าบอกให้พวกเจ้าออกไปแต่พวกเจ้าก็ไม่ไป หากต้องจบชีวิตลงที่นี่ เช่นนั้นก็อย่าโทษข้าล่ะ"

"วางใจเถอะ ข้าไม่โทษเจ้าหรอก"

ทั้งสองคอยปกป้องอยู่ข้างกายของกู้ชูหน่วนทั้งซ้ายและขวา และคอยจ้องมองไปบริเวณรอบข้างอย่างระมัดระวัง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์