เฉียวอี้นั่งรถกลับมาบ้านพร้อมฉัน ในห้องรับแขกเอิกเกริกวุ่นวายมาก
พี่สาวคนโตร้องให้ฟูมฟายกับแม่เลี้ยง “แม่จะมาด่าทอหนูทำไม เรื่องที่ไม่ได้บริจาคเลือดให้พ่อ ต่อให้ฉันบริจาคไปก็คงช่วยชีวิตไว้ไม่ได้อยู่ดี จู่ๆเขาอยากไปก็ไป แม้กระทั่งพินัยกรรมก็ไม่ได้เขียนไว้”
“หนูหุบปากเสียเถอะ!” แม่เลี้ยงดุด่าเธอ
“แม่ด่าหนูไปก็ไม่มีประโยชน์ หนูจะมีปัญญาช่วยอะไรได้ล่ะ” พี่สาวคนโตร้องให้ไม่หยุด จนทำให้คนที่ร้องให้อยู่อารมณ์เสียตามๆกัน
ฉันไม่เจอเซียวซือในห้องรับแขกเลย ทั้งๆที่เฉียวอี้ตามหาจนทั่วแล้ว “เซียวซือบอกว่าเธอปวดหัวจึงขอไปนอนพักอยู่ชั้นบน สามีของคุณก็อยู่เป็นเพื่อนเธอ”
ฉันยิ้มเจื่อนๆ เดินไปหาพ่อบ้าน
พ่อบ้านน้ำตานองหน้า จับมือฉันร้องให้สะอึกสะอื้น “คุณหนูสาม คุณท่านจากไปอย่างกระทันหัน ทำไงดีครับ เป็นเช่นนี้ช้าเร็วตระกูลเซียวคงต้องสิ้นสลายลงเป็นแน่”
“อาอู๋” มือของฉันสั่นเครืออยู่ในฝ่ามือเหี่ยวย่นของเขา “ต้องจัดเตรียมห้องไว้ทุกข์ขึ้นมาเสียก่อน แล้วค่อยประกาศข่าวออกไป จากนั้นก็ค่อยจองชุดไว้อาลัย”
ในบ้านเอิกเกริกวุ่นวายเป็นอย่างมาก พี่สาวคนโตไม่เอาการเอางาน พี่เขยคนโตนั่งเล่นเกมส์อยู่ในซอกหลืบของบ้าน แม่เลี้ยงเอาแต่ร้องให้สะอื้น ส่วนเซียวซือนอนพักอยู่ชั้นบน มีแค่ฉันคนเดียวที่ต้องจัดการธุระทั้งหมดนี้
โชคดีที่มีเฉียวอี้คอยช่วย เธอโทรศัพท์ไปให้ศูนย์ฌาปนกิจเพื่อจับจองสถานที่เพื่อใช้ในการประกอบพิธีงานศพ ประจวบเหมาะแม่ชีที่จะทำพิธีมาพอดี เดี๋ยวฉันไปเชิญพวกเขาเข้ามา
ตอนที่แม่เสียฉันอายุสิบหกปีแล้ว ขั้นตอนทุกอย่างฉันกับพ่อเป็นคนจัดการทั้งหมด ฉันจำได้อย่างแม่นยำ
แต่นึกไม่ถึงว่าอีกเจ็ดปีต่อมาฉันจะต้องมาจัดงานศพของพ่อด้วยมือของฉันเอง
ผ่านไปสักพัก ห้องไว้ทุกข์ก็ทำพิธีเสร็จสรรพ ฉันหยิบอัลบั้มรูปให้แม่เลี้ยงดูว่าจะเลือกรูปไหนตั้งเป็นป้ายอัฐิ
เธอหยิบมาเปิดดูทีละหน้า จากนั้นก็ได้เอ่ยถามขึ้นว่า “หนูคิดว่าภาพไหนดี?”
“ภาพนี้ดีค่ะ!” ฉันชี้ไปที่หนึ่งในภาพเหล่านั้น “นี่เป็นภาพที่ถ่ายในวันเกิด ซึ่งถ่ายไว้ดีมาก”
แม่เลี้ยงดูสักพัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามอง
สายตาของเธอแปลกประหลาด อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นยังไง
“เซียวเซิง คุณฉลาดเลือกจริงๆ
ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่แม่เลี้ยงพูด จึงชำเลืองมองเธออย่างงุนงง
เธอเม้มปากกล่าวต่อว่า “พ่อของคุณจากไปอย่างกระทันหัน ทุกคนต่างยุ่งวุ่นวาย คนใจเย็นอย่างเซียวซือยังทำใจไม่ได้เลย มีแค่หนูที่ยังมีอารมณ์มาจัดการเรื่องพวกนี้ คนนอกเห็นอาจจะคิดได้ว่าหนูเป็นเสาหลักของบ้านซะอีก แต่จริงๆแล้วหาเป็นเช่นนี้ไม่”
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่มีวันไหนเลยที่แม่เลี้ยงไม่พูดแดกดัน ซึ่งฉันก็คุ้นชินกับมันเสียแล้ว เพียงแต่ว่าคำพูดเหน็บแนมในวันนี้ไร้เหตุผลสิ้นดี
ฉันสูดหายใจเข้าอย่างลึก พร้อมกับเอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบา “ยังไงแล้วงานศพของพ่อก็ต้องมีคนจัดงาน”
“หนูเป็นลูกของพ่อคุณไหมก็ยังไม่แน่” แม่เลี้ยงหัวเราะเยาะใส่
“คุณน้า คุณ...” ยังไม่ทันพูดจบประโยคแรก ก็รู้สึกเจ็บตรงศีรษะขึ้นมา พอหันกลับไปมองเห็นพี่สาวคนโตดึงผมฉันหลุดไปเส้นหนึ่ง เธอยืนขยำเส้นผมพร้อมกับหัวเราะอย่างสะใจอยู่ทางด้านหลัง
“เซียวเซิง น้องจะสืบสกุลเซียวต่อไหมนั้นยังต้องดูโชคชะตา”
“พี่สาว พี่ทำอะไรน่ะ?” ฉันลูบหนังศรีษะที่เธอดึงเส้นผมออก
“น้องกับพ่อกรุ๊ปเลือดไม่ตรงกัน พี่จะไปตรวจดีเอ็นเอให้รู้แน่ชัดไปเลย อย่าคิดว่าได้จัดการสะสางธุระที่นี่แล้วจะกลายเป็นคนของครอบครัวตระกูลเซียว บางทีคุณอาจจะเป็นแค่ลูกที่เก็บมาเลี้ยงก็เป็นได้” พี่สาวพูดจาไม่เพราะมาแต่ไหนแต่ไร แม่เลี้ยงมักจะรักเกียจเธอ เพราะคิดว่าเธอไม่คู่ควรกับบ้านหลังนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...
สามีแบบนี้ ควรทิ้งอ่ะ จะสอนก็สอน แต่ไม่ควรบีบบังคับหักหน้า ทำให้อับอายอย่างนี้ ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ยิ่งรู้ว่านังซือยังไม่ตัดใจ ยิ่งต้องจัดการให้ชัดเจนแทนที่จะปล่อยคลุมเครือ...