พ่ายรักเมียในนาม(จบ) นิยาย บท 253

ไม่นานโจ๊กกระดูกหมูของฉันก็มาถึง นอกจากนี้ยังมีบ๊วยดองและรากบัวเปรี้ยวหวานด้วย ช่วยให้ทานได้ดีทั้งยังเจริญอาหารอีกด้วย

เดิมทีฉันไม่ได้อยากกินอะไรเลยจริงๆ แต่เมื่อได้กลิ่นเปรี้ยวๆ หวานๆ นี่แล้วก็รู้สึกอยากทานอาหารขึ้นมาบ้าง

สีชิงชวนช่วยปรับเตียงให้ฉัน ฉันเอนตัวพิงกับเตียงและมองเขาเทโจ๊กให้ฉันด้วยตัวเอง

ฉันรู้สึกประหลาดใจมากที่เขาทำดีกับฉันอย่างน่าเหลือเชื่อแบบนี้ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนสีชิงชวนเพิ่งทรมานฉันอยู่เลย ตอนนี้มาปรนนิบัติรับใช้ฉันแบบนี้ ไม่รู้ว่าเขาบ้าไปแล้ว หรือว่าฉันจะถูกเขาทรมานจนบ้าไปก่อนกันแน่

โจ๊กกำลังร้อนกรุ่นได้ที่ ฉันกำลังจะยื่นมือไปรับ แต่เขากลับถือมันไว้อย่างนั้นโดยไม่มีทีท่าจะส่งมันให้ฉัน

“ผมป้อน” เขาพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “รอแป๊บ”

เขาตักขึ้นมาคำหนึ่งและเป่าให้หายร้อน ฉันสงสัยมากว่าในโจ๊กใส่สารหนูขาวไว้หรือเปล่า ไม่งั้นทำไมเขาต้องเอาใจฉันขนาดนี้?

“อ้าปาก” เขาเป่าเสร็จก็ยื่นช้อนมาจ่อที่ปากฉัน

ฉันลังเลสองจิตสองใจอยู่เล็กน้อย เขาจึงมองหน้าฉันและพูดขึ้น “ไม่ได้ใส่ยาหรอก”

เขารู้จักฉันดีจริงๆ เดาคำพูดที่ฉันกำลังลังเลอยู่ถูกทุกคำ

ฉันอ้าปาก จากนั้นเขาก็ป้อนโจ๊กใส่ปากฉัน

ฉันกินแล้วรู้เลยว่าเป็นฝีมือของเชฟใหญ่แห่งบ้านตระกูลสี ตุ๋นเนื้อได้แบบไม่มีเศษเนื้อเลยสักนิด มันละลายเข้าไปในข้าวหมดแล้ว เหมือนเนื้อครีมเข้มข้นและมีกลิ่นหอมกรุ่น บ๊วยก็เปรี้ยว ชวนเจริญอาหารมาก

เขาป้อนฉันอย่างช้าๆ พอฉันกินเสร็จคำหนึ่ง เขาก็รอให้แน่ใจก่อนว่าฉันกินไปแล้วจริงๆ เขาถึงจะป้อนคำต่อไป

สีชิงชวนก้มหน้า ตักขึ้นมาแต่ละคำเขาก็จะเป่ามันให้ด้วยทุกครั้ง จากนั้นก็ใช้ตะเกียบคีบบ๊วย หรือไม่ก็รากบัวเปรี้ยวหวานชิ้นเล็กๆ มาหนึ่งชิ้นและวางไว้ในช้อน ละเอียดราวกับกำลังสร้างสรรค์ผลงานศิลปะให้เสร็จสมบูรณ์

ตอนที่เขาไม่ทำตัวดุๆ โหดๆ และเอาใจใส่ทั้งยังนุ่มนวลแบบนี้ มันชวนสับสนดีจริงๆ

ฉันมองเขาอย่างเหม่อลอย ไม่นานเขาก็รู้ตัวว่าฉันกำลังมองเขาอยู่ รอยยิ้มเย็นชาราวกับนักฆ่าที่เลือดเย็นไร้หัวใจคนหนึ่ง

“ตอนเด็กๆ ผมเคยป้อนหมา” รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนมุมปากของเขา “ผมก็เลยชำนาญขนาดนี้ไง”

ในหัวฉันไม่ควรมีภาพเพ้อฝันหรือเกิดความรู้สึกซาบซึ้งอะไรกับเขาทั้งนั้น

ฉันพูดไม่ออก เขาจึงพูดขึ้นมาอีก “หลังจากนั้นผมก็โดนหมากัด ผมก็เลยไม่เลี้ยงหมาอีก”

“ฉันไม่กัดคุณหรอก ฉันจะพยายามเป็นหมาที่ไม่ขวางหูขวางตาคุณด้วย” ฉันบอก

ฉันพูดไปตามน้ำ เขาไม่ได้เห็นฉันเป็นแค่หมาตัวหนึ่งอยู่หรือไง?

ทันใดนั้นมือของเขาที่ใช้ป้อนโจ๊กให้ฉันก็นิ่งค้างกลางอากาศทันที แววตาเขามีประกายที่ยากจะคาดเดาฉายอยู่ในนั้น

เขาชะงักไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดขึ้น “ผมไม่ได้บอกว่าคุณเป็นหมา แล้วก็ไม่ได้บอกว่าคุณเป็นหมาที่ผมเลี้ยง”

ฉันยิ้มออกมาอย่างไม่ได้ใส่ใจกับมันและอ้าปากกว้าง “อ้า”

แต่เหมือนเขาจะโกรธขึ้นมาจริงๆ เขาวางถ้วยไว้บนโต๊ะหัวเตียงและไม่ยอมป้อนฉันต่อ “คุณโดนคนอื่นดูถูกแบบนี้แล้วคุณก็โต้ตอบเขาแบบนี้เหรอ?”

เขาเป็นคนพูดเองนี่ว่าฉันเป็นหมา เขาเป็นคนแหย่ฉันเอง ฉันแค่ยอมรับไปแต่โดยดี เขาจะโกรธมากกว่าฉันขนาดนี้ทำไม?

ฉันเดาอารมณ์ของสีชิงชวนไม่ออกเลยจริงๆ ดังนั้นฉันจึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยง

ก็ได้… เขาไม่ป้อน งั้นฉันก็ไม่กิน ฉันหลับตาพักสมองเอาก็ได้

แต่สีชิงชวนกลับไม่ยอมให้ฉันนอน เขาตบแก้มฉันให้ฉันลืมตาตื่นขึ้นมา “เซียวเซิง พ่อแม่คุณสอนให้คุณไม่ตอบโต้คนอื่นกลับเหรอ?”

“ไม่ใช่” ฉันตอบอย่างกระฟัดกระเฟียด

“งั้นทำไมทุกคนถึงรังแกคุณได้?”

“ตอนนี้คนที่รังแกฉันก็คือคุณ รู้ตัวหรือเปล่าคะ?” ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเขาจะชวนทะเลาะแบบไม่มีเหตุผลไปทำไม “คุณพี่คะ ฉันป่วย ฉันรู้สึกทรมานมากนะ ฉันไม่มีแรงมาคิดกับคุณด้วยหรอกว่าฉันมีนิสัยขี้ขลาดหรือเปล่า”

เขาโกรธมากและดวงตาของเขาก็แดงก่ำ

แต่เขายังมีความเป็นคนอยู่บ้างจึงไม่ได้ทรมานฉันต่อ

เขายกถ้วยขึ้นมาอีกครั้ง “กินข้าว”

“กินไม่ลงแล้ว” โดนเขาทำใส่แบบนั้น ความอยากอาหารของฉันก็หมดไปไม่เหลือแม้แต่นิดเดียว

“กินอีกหน่อย คุณกินไปแค่นิดเดียวเอง” เสียงของเขาไม่ได้ดุเท่าเมื่อกี้แล้ว

“กินไม่ลงแล้วจริงๆ”

เขาไม่ได้คะยั้นคะยอต่อ ทำเพียงประคองฉันให้นอนลง

ก็ยังไม่นับว่าเขาไม่มีความเป็นคนอยู่เลยหรอกนะ มันก็ยังพอหลงเหลืออยู่บ้างนิดหน่อย

เขาปล่อยให้ฉันนอน ไม่ได้เซ้าซี้เรื่องที่ว่าฉันขี้ขลาดหรือไม่ขี้ขลาดต่อ

ฉันขี้ขลาดเหรอ?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)