พ่ายรักเมียในนาม(จบ) นิยาย บท 270

ฉันยอมปล่อยผู้ช่วยที่สมบูรณ์แบบอย่างเฉียวอี้ได้ ถ้ามันสามารถทำให้สุขภาพของคุณพ่อเฉียวกลับมาแข็งแรง ฉันยอมทุกอย่าง

แต่น่าเสียดายที่บางครั้งสิ่งต่าง ๆ ในโลกก็โหดร้ายและไร้หนทาง

ฉันอยุ่ในห้องพักผู้ป่วยนี้สักพักก่อนที่จะออกไปเพราะฉันทนไม่ได้ที่ต้องเห็นสภาพของคุณพ่อเฉียวในตอนนี้ น้ำตาอันขื่นขมเอาแต่จะไหลออกเบ้าตาของฉัน

หลังจากนั้นเฉียวอี้ก็ตามออกมา เธอจับมุมเสื้อผ้าของฉันด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “เซียวเซิง ฉันคงไม่ไปอยู่เคียงข้างเธอไม่ได้แล้ว”

“ตอนนี้เธอต้องตั้งใจทำงานหนักแล้ว” ฉันจับมือเธอ “อย่าทำให้พ่อโมโหอีกและกลับไปบริหารบริษัทให้ดี เธอทำได้”

“ฉันสาบานก่อนหน้านี้ว่าแม้ฟ้าจะถล่ม ฉันจะไม่รับช่วงต่อของบริษัท ทว่าตอนนี้ท้องฟ้าข้างนอกยังไม่พังทลายลงมา แต่ท้องฟ้าที่บ้านฉันพังทลายแล้ว” เฉียวอี้จับมือฉันแน่น “เซียวเซิง ตอนนี้ฉันกลัวมาก กลัวว่าพ่อของฉันจะตาย”

“อย่าพูดแบบนั้น” มือของเฉียวอี้เย็นมาก ฉันจับมือเธอไว้แน่น แต่น่าเสียดายที่มือของฉันก็ไม่อุ่นเหมือนกัน

ฉันเข้าใจความเจ็บปวดของการสูญเสียพ่อ ตอนแรกฉันก็อึ้ง มันเหมือนร่างกายโดนแทงที่ไหนสักจุด ถ้าบาดแผลนั้นใหญ่และลึกก็จะด้านชาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยสักนิด และเมื่อเลือดเริ่มไหลออกมา ปลายประสาทก็เริ่มส่งความเจ็บปวด เมื่อถึงตอนนั้นก็จะรู้สึกถึงความเจ็บปวด

เป็นความเจ็บที่ค่อย ๆ ขยายไปวงกว้าง เริ่มจากบาดแผลแล้วลามไปทุกส่วนของร่างกาย ทุกเซลล์ประสาท ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า ไม่มีส่วนไหนที่ไม่รู้สึกเจ็บเลย

ฉันก็ไม่รู้ว่าจะปลอบเฉียวอี้อย่างไรดี ฉันอยากอยู่กับเธอสักพักแต่เธอไล่ฉันกลับ โดยบอกว่าโรคปอดบวมของฉันยังไม่หายดีและบอกว่าอยู่ชั้นนี้นานเกินไปไม่ได้

เมื่อฉันกลับมาถึงห้องพักผู้ป่วย หัวของฉันเกือบจะชนหน้าอกของสีชิงชวน

เขากั้นประตูเหมือนกับกำแพงทึบ

“ไปไหนมา? หรือนอนละเมออีกแล้ว?” มือขางหนึ่งของเขาเขาจับวงกบประตูไว้ไม่ให้ฉันเข้าไป

“ฉันไม่นอนกลางวันแสก ๆ แล้วจะนอนละเมอได้ไง” ฉันลอดผ่านใต้วงแขนของเขา ฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องคุณพ่อเฉียว เพราะพวกเขาเป็นคนใหญ่คนโตและเรื่องเจ็บป่วยก็เป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมาก

บริษัทของสีชิงชวนและคุณพ่อเฉียวเคยร่วมมือกันมาก่อน แต่พวกเขาก็มีการแข่งขันกัน ดังนั้นการไม่พูดอะไร

จึงเป็นการดีกว่า

ฉันบอกว่า “แค่ออกไปเดินเล่นน่ะ”

“ออกไปเดินเล่นจนตาแดงเหรอ?” เขาจับแขนฉันไว้ ก่อนจะหันมาหาฉันแล้วก้มมองฉัน “เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?”

“ทรายเข้าตาเฉย ๆ” ฉันขยี้ตา

เขากระแอมอย่างเย็นชา “ในละครไม่ได้ใช้ข้ออ้างนี้มาตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว”

“เชื่อไม่เชื่อก็ตามใจคุณ” ฉันอารมณ์ไม่ดี จากนั้นขึ้นไปนั่งบนเตียงและเอามือกอดขาขดตัวเป็นลูกบอล

สีชิงชวนนั่งลงข้างเตียงของฉันและเอาแต่ถามฉันว่า “ทรายที่เข้าตาเธอคือทรายอะไร?”

“ความอยากรู้อยากเห็นของคุณแข็งแกร่งจริง ๆ” ฉันซบหน้าลงที่หัวเข่า ปล่อยให้ผมปิดหน้า

แบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม เมื่อสีชิงชวนแตะศีรษะของฉันและดึงหน้าของฉันออกจากหัวเข่า ฉันก็รู้สึกไม่ปลอดภัยอีกต่อไป

เขาเลิกขึ้นและขมวดคิ้วจนเป็นปมตรงกลางหน้าผาก ทุกครั้งที่เขาทำแบบนี้ก็หมายความว่าเขาหงุดหงิดแล้ว

“ตกลงว่าคุณเป็นอะไร? คุณคิดว่าถ้าคุณไม่บอกผมแล้วผมจะไม่รู้เหรอ?”

“ฉันมีความลับไม่ได้เลยเหรอ?” ฉันถามเขาอย่างจริงจัง “ทำไมคุณถึงสนใจเรื่องของฉันมากขนาดนี้? ทำไมคุณถึงมาอยู่กับฉันทุกวันตอนฉันป่วย? ทำไมคุณถึงเอาใจใส่ดูแลฉันในทุกรายละเอียด? ทำไมคุณถึงตามหาฉันไปทุกที่ตอนที่คิดว่าฉันหายไป?”

คำถามแทงใจดำทั้งสี่ข้อของฉันทำให้เขาชะงัก จากนั้นเขาก็เม้มปากแล้วตอบว่า “แม้ว่าจะเลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง ถ้าทำมันหายคุณก็กังวล นับประสาอะไรกับคน”

ฉันรู้ว่าเขาจะตอบแบบนี้

ฉันดึงมือของเขาที่จับใบหน้าของฉันออก “ถ้าอย่างนั้นฉันถามคุณหน่อย ทำไมคุณถึงปฏิบัติต่อกับฉันอย่างนั้น?”

“ปฏิบัติกับคุณยังไง?”

“ทำไมคุณถึงเอาเงินให้เจี่ยงเทียน? ทำไมคุณถึงปล่อยให้ฉันวิ่งตามรถของคุณ?”

ทันใดนั้นฉันก็โยนคำถามเหล่านี้ออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจแต่แรก ซึ่งเป็นคำถามที่ตัวเองยังคิดว่าชาตินี้ตัวเองคงจะไม่มีวันตั้งคำถามกับเขาแบบนี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)