ที่เขาพูดน่าจะถูกแล้วล่ะ อย่างน้อยก็ไม่ดูอ่อนแอขนาดนั้น
ดูเหมือนฉันจะค่อยๆ จำเขาได้แล้ว
ตอนเด็กๆ เขาซนมาก เป็นพวกที่ไม่ชอบทำในสิ่งที่คนอื่นเขาทำ
ตามหลักแล้ว เขาเลือกไปกับแม่ก็น่าจะอยู่ฝ่ายแม่ แต่ทุกครั้งที่แม่เขามาหาเรื่องคุณแม่เฉียว เขาจะมาเล่นกับพวกเราเหมือนเป็นพวกเดียวกัน
เขาเป็นเด็กที่เล่นเก่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะปีนต้นไม้หยิบไข่นกจับปลาในบ่อน้ำต่างๆ เป็นคนที่สนุกมากคนหนึ่ง ดังนั้นที่เขาพูดมา ฉันก็พอเข้าใจได้
หากเขาแสดงท่าทีเศร้าโศกออกมาจะดูปลอมมากกว่า
พอเห็นแบบนี้แล้ว นิสัยใจคอของเขาก็ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลย
ดอกโรซ่าที่เขานำมาให้พอถูกจัดอยู่ในแจกันสีเขียวอ่อน ทำให้ดูงดงามมาก
ฉันมองจนเหม่อลอยแล้วนึกถึงรั้วที่ปลูกดอกโรซ่าเต็มไปหมดบนตึกเล็กๆ ที่อาศัยอยู่กับแม่ มีทั้งสีชมพูและสีแดงเข้ากันได้ดีมาก
ฉันเหม่อมองดอกโรซ่าอยู่ จู่ๆ ก็ได้ยินเฉียวเจี้ยนฉีพูดขึ้น “คุณออกจากโรงพยาบาลพรุ่งนี้เหรอ?”
“หืม?” ฉันครุ่นคิด “อืม ใช่”
“งั้นพรุ่งนี้ก็ว่างน่ะสิ?”
ฉันชะงักเล็กน้อย “อะไรนะ?”
เราเพิ่งจะเจอหน้ากัน เขาก็จะชวนฉันแล้วงั้นเหรอ?
ฉันกำลังคิดว่าจะปฏิเสธยังไงดี เขาก็พูดขึ้น “พรุ่งนี้ผมอยากไปไหว้คุณลุงเซียวหน่อยน่ะ ผมเพิ่งรู้ว่าลุงเซียวจากไปแล้ว”
ฉันคาดไม่ถึงว่าเขาจะมีใจแบบนี้ จึงทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย “คุณมีใจแล้ว”
“ไม่หรอก มันเป็นสิ่งที่ผมมควรทำ ผมยังจำได้อยู่เลย สมัยเด็กๆ ตอนที่วิ่งไปบ้านคุณแล้วปีนต้นไม้ จากนั้นผมก็ตกลงมา ตอนนั้นคุณลุงเซียวยังเป็นคนที่อุ้มผมไปส่งที่โรงพยาบาลเลย”
เรื่องสมัยเด็กๆ เขายังจำได้แม่นขนาดนั้น ตัดภาพมาที่ฉันที่ลืมแทบจะสนิทราวกับไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้นปานนั้น
“เซียวเซิง ฉันจะบอกอะไรเธอให้ วันนี้ลูกชายของผู้หญิงคนนั้นมา…” เฉียวอี้เข้ามาโดยไม่เคาะประตูอีกแล้ว พลางเดินพลางพูด ไม่สนเลยว่าใครจะอยู่ในห้อง
ลูกชายของผู้หญิงคนนั้นที่เธอหมายถึงก็คือเฉียวเจี้ยนฉีนั่นเอง อย่างน้อยเขาก็เป็นพี่ชายร่วมบิดาของเธอนะ
ฉันหันไปมองสีหน้าของเฉียวเจี้ยนฉี เขาวางศอกไว้บนโต๊ะข้างเตียงแล้วยิ้มแป้นต่อเฉียวอี้ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปลูบศีรษะของเธอ “เฉียวอี้สูงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย เกือบจะสูงเท่าพี่แล้วเนี่ยะ”
เฉียวอี้คงจะเพิ่งสังเกตว่าในห้องของฉันมีคนเกินมาคนหนึ่ง เธอมองอยู่นาน “คุณคือใคร?”
“ก็ลูกชายของผู้หญิงคนนั้นไง!” เขาไม่คิดมาก “แกจำฉันไม่ได้ ฉันก็แทบจะจำแกไม่ได้แล้วเหมือนกัน ตอนเด็กๆ ดูแกไม่น่าจะสูงขนาดนี้นะ”
เฉียวอี้มองฉันกับเขาสลับไปมาอย่างงุนงง ฉันพยักหน้าต่อเธอบ่งบอกว่าสิ่งที่เธอได้ยินนั้นเป็นความจริงทั้งหมด
ถ้าฉันเป็นเธอล่ะก็ ต้องอายแน่ๆ ที่นินทาคนอื่นต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ แต่ทว่าถ้าอายเป็นก็ไม่ใช่เฉียวอี้แล้วล่ะ
เธอกวาดมองเฉียวเจี้ยนฉีแล้วส่งเสียงไม่พอใจออกมาจากรูจมูก “ดูเป็นผู้เป็นคนอยู่”
“ไอ้ลูกเจี๊ยบ” เขากดทับหัวไหล่ของเฉียวอี้ยังคงยิ้มแป้นเหมือนเคย “ฉันเป็นพี่ชายแกเหมือนกันนะ ถ้าฉันไม่เป็นผู้เป็นคน แกคิดว่าแกจะดีไปกว่านี้แค่ไหนกันเชียว?”
“นี่” เฉียวอี้สะบัดมือเขาออก “อย่าแตะเนื้อต้องตัวนะ ถึงจะเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่ชายหญิงก็ไม่ควรแตะต้องตัวกันมั่วๆ”
“ทำไมต้องปฏิเสธพี่ขนาดนี้ด้วย ตอนเด็กๆ เราดีกันจะตายไม่ใช่เหรอ?” เฉียวเจี้ยนฉีโน้มตัวมองเธอ เฉียวอี้ที่ว่าสูงแล้ว แต่เขาสูงกว่าเฉียวอี้ประมาณสองหัวได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...
สามีแบบนี้ ควรทิ้งอ่ะ จะสอนก็สอน แต่ไม่ควรบีบบังคับหักหน้า ทำให้อับอายอย่างนี้ ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ยิ่งรู้ว่านังซือยังไม่ตัดใจ ยิ่งต้องจัดการให้ชัดเจนแทนที่จะปล่อยคลุมเครือ...