น้อยครั้งมากที่เฉียวอี้จะแสดงท่าทีไร้เรี่ยวแรงต่อหน้าฉัน เมื่อเห็นสภาพของเธอเช่นนี้ พูดได้จากใจเลยว่าฉันเองก็รู้สึกเป็นทุกข์เช่นกัน
ฉันโอบกอดไหล่ของเธอไว้ “เฉียวอี้ ไม่ต้องกังวล ยังมีฉันอยู่!”
“ไม่เป็นไร ฉันน่ะเข้มแข็ง ไม่มีใครทำอะไรฉันได้หรอก” โทรศัพท์ของเธอพลันดังขึ้น เธอเดินออกไปรับสายโทรศัพท์ ผ่านไปครู่หนึ่งเธอเดินกลับมาและบอกฉัน “ฉินกวนมาเยี่ยมพ่อของฉัน ฉันจะขึ้นไปด้านบนแล้ว เธอไปกับฉันไหม?”
“ไม่ไป”
“อือ” ในที่สุดรอยยิ้มที่หายไปเนิ่นนานก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉียวอี้ ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับพ่อเฉียวจนกระทั่งตอนนี้ ฉันไม่เคยเห็นเธอยิ้มเลยสักครั้ง
บางทีเธออาจจะชื่นชอบฉินกวนจริงๆ
เช่นนั้น หากว่าฉินกวนคือพ่อของฉันจริงๆ
ถ้าอย่างนั้น เฉียวอี้ก็สามารถเป็นแม่เลี้ยงของฉันได้
ฉันไม่ถือสาหรอก จริงๆ
ฉันกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง นิยายนักสืบที่เฉียวอี้นำมาให้ฉันนั้นสนุกมาก ทำให้รู้สึกเพลิดเพลินและอยากอ่านต่อ ฉันพึ่งพาสิ่งนี้คลายความกังวลที่อยู่ภายในหัวใจ
ขณะที่ฉันกำลังอ่าน สีชิงชวนก็มาถึงแล้ว แม้ว่าฉันจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมอง แต่ทว่ามุมหางตาของฉันก็สังเกตเห็นเขาที่กำลังยืนอยู่ด้านหน้าเตียงของฉัน เขาสวมกางเกงลินินและเสื้อเชิ้ตสีขาว ด้วยเฉดสีนี้ทำให้ผู้คนไม่ค่อยรู้สึกถึงความรู้สึกของการกดขี่
ฉันรอให้เขาเอ่ยเรียกชื่อฉัน ฉันค่อยเงยหน้าขึ้นไปมอง แสร้งทำเป็นเพิ่งรู้ว่าเขานั้นมาถึงแล้ว
“มาแล้วเหรอ?” ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขา
“ด้วยคำกล่าวทักทาย คุณช่วยพูดให้ดีกว่านี้สักหน่อยได้ไหม?” เขามองสำรวจภายในห้อง จากนั้นชี้ไปยังแจกันดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะกาแฟ “นั่นคืออะไร?”
“ดอกไม้ไง”
“ผมรู้แล้วว่าคือดอกไม้...”
“ดอกกุหลาบไง” ฉันกล่าว
อาจเป็นเพราะว่าเรื่องเกี่ยวกับสายพันธุ์ดอกไม้นั้นฉันรู้ดีกว่าสีชิงชวน
เขาเลิกคิ้วขึ้น “ผมไม่ได้อยากรู้เกี่ยวกับสายพันธุ์ดอกไม้ ผมแค่จะถามว่าดอกไม้นี้มาจากไหน”
“แน่นอนว่ามีคนส่งมาให้ คงเป็นไปไม่ได้ที่ดอกไม้เหล่านั้นจะมีขาและเดินมาด้วยตัวเอง”
“เซียวเซิง” จมูกของเขาพ่นลมหายใจอย่างเยือกเย็น “ถ้าหากอยู่ภายในการประชุมของเซียวซื่อกรุ๊ปแล้วคุณสามารถใช้วาจาเอาชนะเหล่านักปราชญ์ผู้รู้ได้เช่นนี้ เซียวหยวนที่อยู่อีกโลกหนึ่งก็คงจะหัวเราะเยาะออกมาได้”
ฉันรู้ว่าเขาจะกล่าวว่าฉันนั้นพูดกับเขาได้อย่างฉะฉาน อาจเป็นเพราะว่าทุกครั้งที่ฉันพูดมากและปากดีกับสีชิงชวน น้อยครั้งมากที่เขาจะชักสีหน้าและแสดงท่าทีโกรธเคือง เช่นนั้นแล้วจึงเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมฉันในด้านนี้
ฉันก้มศีรษะและอ่านหนังสือต่อไป เขากลับดึงหนังสือที่อยู่ภายในมือของฉันออกไปอย่างง่ายดาย ขอบกระดาษที่แหลมคมพลันบาดนิ้วของฉัน ผิวหนังบริเวณนิ้วของฉันเกิดรอยแยกระหว่างกันเล็กน้อย รู้สึกเจ็บเป็นอย่างมาก
ฉับพลันฉันเอานิ้วเข้าไปภายในปากและดูดทันที ทันใดนั้นเขาดึงนิ้วออกจากปากของฉัน “เป็นอะไร?”
“กระดาษบาด”
เขาหรี่สายตาและมองเห็นรอยแผลขนาดเล็ก “ผมจะไปเรียกหมอมาทำแผลให้”
“ไม่ต้อง แผลแค่นี้เอง กว่าหมอจะมาถึง แผลก็คงสมานแล้ว”
“คุณเป็นมนุษย์เลือดสีน้ำเงินเหรอ?” เขาหยิบเบตาดีนออกมาและทาให้กับฉันด้วยท่าทางแข็งกระด้าง
“มนุษย์เลือดสีน้ำเงินคืออะไร?”
“ในนวนิยายแฟนตาซี เมื่อมนุษย์เลือดสีน้ำเงินได้รับบาดเจ็บแล้วแผลสามารถสมานและหายไปได้เอง”
“นวนิยายไร้ข้อจำกัด คิดอยากจะเขียนอะไรก็สามารถเขียนได้”
เมื่อเขาทาเบตาดีนให้กับฉันเสร็จ เขาเอ่ยเตือนฉัน “อย่าเอาเข้าปากอีกล่ะ ไม่งั้นคุณจะเมาอย่างแน่นอน”
“ฉันไม่ได้คออ่อนขนาดนั้นเสียหน่อย” แผลเล็กเพียงเท่านี้ เมื่อทาเบตาดีนเสร็จก็ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว
ฉันคิดว่าบทสนทนาเกี่ยวกับแจกันดอกไม้จะหยุดลงเนื่องจากนิ้วของฉันได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อเขานำเบตาดีนกลับไปเก็บไว้ภายในลิ้นชัก เขาก็เอ่ยถามฉันอีกครั้ง “ใครส่งดอกไม้มา?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...
สามีแบบนี้ ควรทิ้งอ่ะ จะสอนก็สอน แต่ไม่ควรบีบบังคับหักหน้า ทำให้อับอายอย่างนี้ ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ยิ่งรู้ว่านังซือยังไม่ตัดใจ ยิ่งต้องจัดการให้ชัดเจนแทนที่จะปล่อยคลุมเครือ...