ตั้งแต่ออกมาจากเซียวซื่อกรุ๊ป ฉันมีความทะเยอทะยานสูงและทะนงตนว่าคนที่แข็งแกร่งมีจิตใจกล้าหาญอย่างฉันจะไม่มีทางกลับมา
ฝนกำลังตกลงมาตามฤดูกาล ฉันที่ไม่ได้พกร่มมาจึงเอามือบังไว้ เม็ดฝนเม็ดใหญ่หยดลงบนใบหน้าผ่านช่องว่างระหว่างนิ้วของฉัน มีความรู้สึกอ้างว้างเข้ามาในหัวฉัน
สีจิ่นยวนโทรศัพท์หาฉัน บอกฉันว่าเขาซื้อตั๋วเครื่องบินให้ฉันเรียบร้อยแล้ว
คำนวณเวลาดูแล้วฉันก็จะออกจากฮวาเฉิงในไม่กี่ชั่วโมง
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะไปนานแค่ไหน แต่จะบอกดีไหมหรือจะต้องบอกสีชิงชวนอย่างไรฉันก็ยังไม่ได้คิดเลย”
เฉียวอี้บอกฉันว่าต้องโทรหาเขาและให้เหตุผลที่เพียงพอกับเขาอย่างมั่นใจ บอกเขาว่าเธอจะไปเรียนต่อก็พอแล้ว
แต่ฉันกลัวมาก คิดมาทั้งวันแล้วยังไม่กล้าบอกเลย ดังนั้นฉันจึงอิดออดไม่โทรหาเขาสักที
เมื่อตอนเย็นสีชิงชวนโทรมาหาฉันเรื่องพาสปอร์ตและวีซ่า ฉันถามเขาไปว่า “สีชิงชวนรู้เรื่องที่นายจะกลับไปเรียนต่อหรือยัง ?”
“สองสามวันมานี้พี่ชายฉันยุ่งมาก เวลากลับมาทีฉันก็หลับไปแล้ว ดังนั้นก็เลยยังไม่ได้พูดกับเขาเลย เซียวเซิง เธอยังไม่ได้บอกพี่สามเหรอ?”
ฉันหมดอาลัยตายอยาก “ใช่ ยังไม่ได้บอกเลย”
“งั้นเอางี้ดีมั้ย ยังไงพรุ่งนี้พวกเราก็ไปกันแล้ว พอพวกเราถึงแล้วเธอค่อยโทรไปบอกเขาว่าถึงปลอดภัยดีก็แล้วกัน เอางั้นไหมล่ะ ?
ทำไปก่อนค่อยบอกทีหลังเป็นวิธีที่เข้าท่านะ อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องพูดอะไรกับสีชิงชวนเยอะว่าฉันจะต้องไปเรียนอะไรแบบนั้น
เฉียวอี้กลับมาจากงานสมาคมดึกมาก กลับมาก็มาช่วยฉันจัดกระเป๋า ฉันบอกว่าให้เธออยู่เฉยๆ เธอยิ่งช่วยก็ยิ่งยุ่ง
เธอหยิบของมายัดใส่กระเป๋าฉันแล้วบอกว่าคุณแม่เฉียวให้ฉันพกไปด้วย
ล้วนแต่เป็นพวกยา และยังมีพวกของทานเล่นที่ไม่สามารถซื้อได้ในต่างประเทศอีกจำนวนหนึ่ง
“พอแล้ว พอแล้ว กระเป๋าฉันจะระเบิดแล้ว”
“งั้นก็เพิ่มกระเป๋าไปอีกใบสิ ไปเป็นปี ไปไกลอีกต่างหาก พกของไปด้วยเยอะๆถึงจะวางใจ”
“เฉียวอี้” ฉันลูบหน้าเธอ “อยู่กับฉันทีไร เธอก็กลายเป็นคนแก่ตลอดเลยนะ”
“เซิงเซิงน้อยผู้น่าสงสารของฉัน เธอต้องมีคนคอยดูไง” เฉียวอี้มองมาที่ฉันด้วยความสงสาร “วันนี้ฉันโทรไปกล่าวเตือนสีจิ่นยวนแล้ว ถ้าเขาบังอาจรังแกหรือไม่ฟังเธอนะ บอกฉัน ฉันจะบินไปจัดการเขา”
เฉียวอี้ทำมันได้อย่างนอน
“เธอก็ชอบไปขู่เขาตลอด สีจิ่นยวนเขาก็ดีนะ”
“ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ทุกครั้งที่เห็นฉันก็จะตะโกนเฉียวอี้ เฉียวอี้ เขาต้องเรียกฉันป้านะไม่รู้หรือไง!”
ที่จริงบรรยากาศการลามันควรจะต้องเศร้านะ แต่พอเฉียวอี้พูดแบบนี้ ทำให้ฉันงุนงง ฉันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง “เขาอายุห้าหกขวบหรือไงถึงต้องเรียกเธอว่าป้าน่ะ”
“สรุปแล้ว” เฉียวอี้จับไหล่ฉัน “พวกเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เรียนมัธยมต้น มัธยมปลาย มหาวิทยาลัยมาด้วยกัน มีฉันคอยดูแลเธอตลอด ตอนนี้ก็ไม่สามารถไปเรียนเป็นเพื่อนเธอได้ เซียวเซิงเธอต้องดูแลตัวเองดีๆนะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...
สามีแบบนี้ ควรทิ้งอ่ะ จะสอนก็สอน แต่ไม่ควรบีบบังคับหักหน้า ทำให้อับอายอย่างนี้ ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ยิ่งรู้ว่านังซือยังไม่ตัดใจ ยิ่งต้องจัดการให้ชัดเจนแทนที่จะปล่อยคลุมเครือ...